xs
xsm
sm
md
lg

ฎีกาจำคุกคนละ 22 ปี แก๊งอุ้มเรียกค่าไถ่นักธุรกิจไต้หวัน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม


ศาลฎีกาสั่งจำคุกแก๊งไต้หวันคนละ 22 ปี อุ้มเรียกค่าไถ่นักธุรกิจชาติเดียวกัน 30 ล้านบาท อ้างทวงหนี้พนัน ศาลชี้พยานหลักฐานโจทก์แน่นหนา เชื่อจำเลยกระทำผิดจริงพร้อมให้คืนเงินแก่ผู้เสียหาย 7 แสนกว่าบาท

เมื่อเวลา 10.00 น. วันนี้ (9 มิ.ย.) ที่ห้องพิจารณาคดี 709 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดฟังคำพิพากษาของศาลฎีกา ในคดีหมายเลขดำ อ.846/2553 ที่พนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 10 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายอำพล แซ่หว่าง, นายศราวุธ แซ่หยาง, นายเฉิน จื้อเหวิ่น, นายสมุทร หยางยิง, นายจาง จาหลุน และนายชิงฉางหรือเชน แซ่หลี่ เป็นจำเลยในความผิดฐานร่วมกันเพื่อได้มาซึ่งค่าไถ่ นำตัวเด็กมาโดยใช้อุบายหลอกลวง ใช้กำลังประทุษร้าย หน่วงเหนี่ยวกักขัง เป็นเหตุให้รับอันตรายแก่กาย, แสดงตนเป็นเจ้าพนักงาน, บุกรุก, ร่วมกันกระทำตั้งแต่สองคนขึ้นไป และร่วมกันลักทรัพย์ในเวลากลางคืน

โจทก์ฟ้องสรุปว่าระหว่างวันที่ 1-14 ธ.ค. 2552 เวลากลางคืนก่อนเที่ยง จำเลยทั้งหกกับพวกที่หลบหนีเพื่อได้มาซึ่งค่าไถ่ ได้ร่วมกันเอาตัวนายเติ้น ลี่เหวย ผู้เสียหายที่ 1 อายุ 36 ปี นักธุรกิจสิ่งทอชาวไต้หวัน พร้อมพวกผู้เสียหายรายอื่นๆ โดยจำเลยที่ 1 กับพวกรวม 6 คนอ้างตัวว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมตัวเพื่อเรียกค่าไถ่จำนวน 30 ล้านบาท โดยจำเลยที่ 1, 4, 6 กับพวกที่หลบหนี ร่วมกันลักทรัพย์เอาโทรศัพท์มือถือ 3 เครื่อง รวมราคา 9,000 บาท สมุดเช็คธนาคารอาร์บีเอส ประเทศสิงคโปร์ และเอกสารหนังสือเดินทางสาธารณรัฐประชาชนจีน (ไต้หวัน) ไปโดยทุจริต บุกรุกเข้าไปในบ้านพักของผู้เสียหายที่ 1 ก่อนจะลักทรัพย์เอาเงินไต้หวัน 38,000 ไทเป เป็นเงิน 38,000 บาท เงินสิงคโปร์ 520 เหรียญ เป็นเงิน 13,000 บาท และเงินสหรัฐอเมริกา 20,000 ดอลลาร์ เป็นเงิน 660,000 บาท เหตุเกิดที่แขวงและเขตวังทองหลาง อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ เกี่ยวพันกัน ขอให้จำเลยที่ 1, 4, 6 ร่วมกันใช้เงินคืนแก่ผู้เสียหาย

คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษา เมื่อวันที่ 16 พ.ย. 2553 ให้จำคุกจำเลยที่ 1, 4, 6 ในความผิดฐานร่วมกันกักขังหน่วงเหนี่ยวผู้อื่น ให้เสื่อมเสียเสรีภาพ ลงโทษจำคุกเป็นเวลา 3 ปี และจำคุกจำเลยที่ 2, 3, 5 ในความผิดฐานบุกรุกเคหสถานในเวลากลางคืนให้จำคุกคนละ 3 ปี ขณะที่ศาลอุทธรณ์พิพากษา วันที่ 7 ธ.ค. 2555 ให้จำคุกจำเลยที่ 1, 4, 6 ในความผิดฐานร่วมกันเพื่อได้มาซึ่งค่าไถ่และลักทรัพย์ในเวลากลางคืน จำคุกคนละ 22 ปี ส่วนจำเลยที่ 2, 3, 5 จำคุก คนละ 22 ปี 6 เดือน พร้อมร่วมกันคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ จำนวน 723,950 บาท ต่อมาจำเลยยื่นฎีกา

ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมกันแล้วมีประเด็นที่วินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1-6 ได้ร่วมกันเรียกค่าไถ่ผู้เสียหายหรือไม่ เห็นว่า โจทก์มีผู้เสียหายและเจ้าหน้าที่ตำรวจเบิกความสอดคล้องกันว่า จำเลยที่ 1 พร้อมพวกได้ร่วมกันจับกุมตัวผู้เสียหายไปเรียกค่าไถ่เป็นเงินจำนวน 30 ล้านบาท ซึ่งจำเลยได้นำตัวผู้เสียหายไปคุมขังที่บ้านพักและสถานที่แห่งหนึ่ง จำเลยอ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจข่มขู่เรียกเงินจากผู้เสียหายและมีการยึดทรัพย์สินของผู้เสียหายไปด้วย โดยมีการข่มขู่ทำร้ายร่างกายและแจ้งให้กับทางญาติผู้เสียหายรับทราบเพื่อนำเงินมาแลกเปลี่ยน จากนั้นญาติของผู้เสียหายได้นำเงินมาให้กับจำเลยหลายครั้ง และยังเดินทางไปเบิกเงินที่ประเทศสิงคโปร์จำนวน 4 แสนดอลลาร์สหรัฐ เพื่อนำมาให้กับจำเลย โดยจำเลยได้นำเงินไปแลกเปลี่ยนเงินตราที่สถาบันการเงินแห่งหนึ่ง เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้วางแผนจับกุมซึ่งต่อมาพบจำเลยที่ 1 เป็นผู้มารับเงิน และมีจำเลยที่ 2, 3 คอยดูต้นทางอยู่ เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้แสดงตัวเข้าจับกุมจำเลยที่ 1-3 และขยายผลตรวจค้นที่บ้านพักจนสามารถช่วยเหลือผู้เสียหายไว้ได้ และทำการจับกุมจำเลยที่ 4, 5, 6 ได้ในบริเวณใกล้เคียง

เห็นว่า โจทก์มีเจ้าหน้าที่ตำรวจเบิกความยืนยันว่าได้รับแจ้งจากญาติผู้เสียหายว่ามีคนถูกจับกุมตัวไปเรียกค่าไถ่จึงได้วางแผนจับกุมตัวจำเลย ซึ่งคำให้การสอดคล้องกับผู้เสียหาย และพนักงานแลกเปลี่ยนเงินตราซึ่งเบิกความยืนยันว่าพบเห็นจำเลยมาแลกเปลี่ยนเงิน พยานหลักฐานโจทก์จึงมีน้ำหนักมั่นคงรับฟังได้ แม้จำเลยจะอ้างว่าเป็นการทวงหนี้การพนัน แต่จำเลยเป็นพลเรือนธรรมดาจึงไม่มีอำนาจหน้าที่ที่จะกระทำได้ ข้อกล่าวอ้างของจำเลยจึงเป็นเพียงคำพูดเลื่อนลอย พยานหลักฐานโจทก์จึงมีน้ำหนักมั่นคง ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น

มีประเด็นต้องวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1-6 มีความผิดฐานร่วมกันลักทรัพย์หรือไม่ เห็นว่า โจทก์มีผู้เสียหายเบิกความยืนยันว่าจำเลยทั้งหกได้ลักเอาทรัพย์สิน หนังสือเดินทาง และเงินสดของผู้เสียหายไป และนำบัตรประชาชนไปข่มขู่เรียกค่าไถ่ โดยจำเลยที่ 2, 3, 5 อ้างเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจนอกเครื่องแบบข่มขู่ผู้เสียหาย พยานหลักฐานโจทก์จึงมีน้ำหนักมั่นคง พยานหลักฐานของจำเลยไม่อาจหักล้างได้ ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น

พิพากษาแก้ในประเด็นปัญหาข้อกฎหมายเฉพาะจำเลยที่ 2, 3, 5 กระทำผิดกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ลงโทษฐานเรียกค่าไถ่ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 313 วรรคแรก ซึ่งเป็นบทหนักสุด ลงโทษจำคุก คนละ 20 ปี และลงโทษฐานลักทรัพย์ จำคุกคนละ 2 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ รวมลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1-6 เท่ากันเป็นเวลาคนละ 22 ปี


กำลังโหลดความคิดเห็น