สน.พระอาทิตย์
แม้การปรับเปลี่ยนคำสั่งลงโทษตำรวจปล่อยปละละเลยเรื่องอบายมุข ที่ใช้มานานกว่า 10 ปี จะเพิ่มบทลงโทษให้คลอบคลุมหน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้อง ไม่ใช่ “ท้องที่” รับผิด “หน่วยอื่น” รับประโยชน์ เหมือนที่ผ่านมา แต่สิ่งที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลง คือ การตรวจสอบข้อเท็จจริง และการลงโทษทางปกครอง ยังใช้ “ตำรวจ” สอบ “ตำรวจ” กันเองเช่นเดิม
การปรับปรุง เปลี่ยนแปลง คำสั่งที่ 234 เรื่องการพิจารณาความผิดเจ้าหน้าที่ตำรวจที่บกพร่องในการป้องกันและปราบปรามอบายมุข จากคำสั่ง 234/2548 มาเป็นคำสั่ง 234/2558 ของ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง แม่ทัพใหญ่สีกากี ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ค. ที่ผ่านมา
กำลังเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันว่าเป็นการแก้ปัญหา “ตรงจุด” หรือไม่ อย่างไร หรือเป็นเพียงการปรับภาพ เพิ่มความเข้มข้น ให้สังคมเห็นในห้วงเวลาที่กระแส “ปฏิรูปตำรวจ” กำลังเขม็งเกลียวอยู่ขณะนี้
คำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ 234/2558 ระบุ ให้ปราบปรามการพนัน ได้แก่ ลักลอบเปิดเว็บไซต์การพนันออนไลน์ เช่น บาคาร่า ทายผลกีฬาต่างๆ ที่สถานบริการต่างๆ แอบแฝง จัดสถานที่ไว้ให้เล่นบ่อนการพนันที่ลักลอบเล่นโดยไม่เกรงกลัวกฎหมาย เช่น ค้าประเวณี และการค้ามนุษย์ ได้แก่ การล่อลวง บังคับ ค้าประเวณี สถานประกอบการที่แอบแฝงมีการค้าประเวณี การค้ามนุษย์ ในลักษณะที่เป็นการบังคับใช้แรงงานหรือบริการ หรือการค้าประเวณี ทั้งคนไทยและต่างด้าว ลักลอบเปิดเว็บไซต์ หรือสื่ออินเทอร์เน็ต เพื่อค้าประเวณี ค้ามนุษย์
โดยให้หน่วยที่จะต้องรับผิดชอบ ในพื้นที่ได้แก่ บช.น.,ภ.1 - 9 โดยเพิ่มเติม ศชต. และระบุหน่วยย่อยต่างๆ เช่น บก.สืบสวน, สายตรวจ 191, กก.สวัสดิภาพเด็กและสตรี (การค้าหญิงและเด็ก) หน่วยส่วนกลาง ไดแก่ บช.ก. (กองปราบ, ตำรวจน้ำ, รถไฟ, ค้ามนุษย์, เศรษฐกิจ), สตม. (ตม.1 - 6, บก.สืบสวน หัวหน้าด่านทุกด่าน) กรณี ความผิดค้ามนุษย์ และตามกฎหมายคนเข้าเมือง บก.ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี กรณี ลักลอบเปิดเว็บไซต์การพนัน ออนไลน์, การค้าประเวณี, การค้ามนุษย์ และ ขายหรือเผยแพร่ สื่อลามก ต่างๆ
“ให้การพิจารณาบทลงโทษในความบกพร่อง ถ้าหาก กรณี หน่วยงาน บช. อื่น เข้าตรวจค้นจับกุม หน่วยพื้นที่ต้องรับผิดชอบ ในกรณี หน่วยอื่น และ ส่วนราชการอื่น ทั้งหน่วยพื้นที่ และส่วนกลาง หากปล่อยปละละเลย หรือไม่มีประสิทธิภาพในการปราบปราม ในระดับตำรวจชั้นประทวนให้ กักขัง ระดับสัญญาบัตร กักยาม ตัดเงินเดือน กรณี มีส่วนพัวพัน รู้เห็น รับผลประโยชน์ ลงโทษวินัยร้ายแรง และทางอาญาทุกกรณี จะมีการพิจารณาทางปกครอง อาจสั่งให้ไปปฏิบัติหน้าที่ ที่ ตร. หรือหน่วยงานอื่นตามความเหมาะสม รวมถึงการพิจารณาผลงานในรอบปีอีกด้วย”
สำหรับการพิจารณาทางการปกครองกับผู้บังคับบัญชาระดับกองบัญชาการ ในกรณีที่มีการจับกุมอบายมุขเป้าหมายในพื้นที่รับผิดชอบของสถานีตำรวจ ตั้งแต่ 3 สถานีขึ้นไป ภายในหรือต่าง บก. และ ภ.จว. อำนาจเรียกระดับ ผบช. และ รอง ผบช. ไปปฏิบัติหน้าที่ ตร. หรือหน่วยอื่นได้ กรณี รอง ผบช. รับมอบหมายให้รับผิดชอบพื้นที่ที่ถูกจับกุม รับมอบหมายให้ป้องกันปราบปรามอบายมุข ปกครองบังคับบัญชาหน่วยที่มีหน้าที่รับผิดชอบ
พล.ต.อ.สมยศ ให้เหตุผลการปรับปรุง เปลี่ยนแปลง คำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ 234/2558 เรื่อง การพิจารณาเจ้าหน้าที่ตำรวจที่บกพร่องในการป้องกันและปราบปรามอบายมุขในคำสั่งดังกล่าวไว้ว่า จากกรณีมีการกระทำความผิดทางอบายมุข การพนัน การค้าประเวณี และการค้ามนุษย์ เป็นนโยบายสำคัญที่จะต้อง ปราบปรามอย่างจริงจังซึ่งคำสั่งเดิมคำสั่ง ตร. ที่ 234/2548 ยังไม่ครอบคลุมทุกฐานความผิด และหน่วยรับผิดชอบ และฐานความผิด
อย่างไรก็ดี แม้การปรับเปลี่ยนคำสั่งลงโทษตำรวจปล่อยปละละเลยเรื่องอบายมุข ที่ใช้มานานกว่า 10 ปี จะเพิ่มบทลงโทษให้คลอบคลุมหน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้อง ไม่ใช่ “ท้องที่” รับผิด “หน่วยอื่น” รับประโยชน์ เหมือนที่ผ่านมา แต่สิ่งที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลง คือ การตรวจสอบข้อเท็จจริง และการลงโทษทางปกครอง ยังใช้ “ตำรวจ” สอบ “ตำรวจ” กันเองเช่นเดิม
ทั้งๆ ที่สอบกันเองเช่นนี้ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า ไม่ว่าหน่วยงานไหนเข้าไปจับกุม ตำรวจที่รับผิดชอบก็ถูกมาช่วยราชการเพียงชั่วครั้งชั่วคราว พอข่าวเงียบ พอเรื่องเงียบ ผลการสอบสวนข้อบกพร่อง ซึ่งตำรวจสอบกันเองส่วนใหญ่ก็จะออกมาในทำนองไม่พบการกระทำผิด หรือมีส่วนรู้เห็นในการปล่อยปละละเลยสถานบริการ บ่อนการพนัน อบายมุข ที่ผิดกฎหมาย และก็กลับมาทำงานตามเดิม เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เหตุที่เป็นเช่นนั้น เพราะว่ากันตามตรง หากระดับกองบัญชาการสอบสวนข้อเท็จจริง แล้วบอกตำรวจโรงพัก ตำรวจท้องที่บกพร่อง ก็จะมีคำถามตามมาว่าแล้วระดับกองบังคับการ ระดับกองบัญชาการ ไม่ต้องรับผิดชอบหรือ นอกจากนี้ ตำรวจระดับ ผกก. โรงพักที่มาอยู่แต่ละแห่ง หรือระดับ ผู้บังคับการ ที่มาคุมพื้นที่ “ผู้บัญชาการ” ก็เป็นคนเลือกมาอยู่ บางครั้งก็เป็นเพื่อนร่วมรุ่นบ้าง ลูกน้องใกล้ชิดบ้าง ความเป็นพรรค เป็นพวกก็ยังมีอยู่
หรือหากระดับ ตร. สอบสอบสวนข้อเท็จจริง ไม่ว่าจะมอบหมายให้จเรตำรวจสอบ หรือใครสอบ ก็จะมีรุ่น มีพวก มีการช่วยเหลือไม่ต่างกับระดับกองบัญชาการเช่นเดียวกัน
เหมือนอย่างการจับบ่อนพนัน จับค้าประเวณี ในพื้นที่นครบาลหลายๆ โรงพัก ถึงขนาดมีคำสั่งให้ 5 เสือ 6 เสือ โรงพักไปช่วยราชการ เด้งระดับผู้บังคับการเข้ากรุไปตบยุง ศปก.ตร. รวมทั้ง “พล.ต.อ.สมยศ” ก็ขึงขังเอาจริงเอาจังไม่ยอมปล่อยออกจากกรุง่ายๆ ถึงขั้นมีหนังสือปฏิเสธผลการสอบสวนข้อเท็จจริง สุดท้ายเมื่อมีแรงบีบ แรงกดดัน ก็ต้องยอมกลืนน้ำลายรักษาชีวิต
ทั้งนี้ทั้งนั้น หาก “พล.ต.อ.สมยศ” จริงจังในการปราบปรามอบายมุขต่างๆ และจริงใจในการลงโทษตำรวจที่บกพร่องต่อหน้าที่ เข้าไปแสวงหาผลประโยชน์อันมิควรอย่างแท้จริง ทางที่ดีน่าจะเปิดโอกาสให้หน่วยงานนอกเข้ามาตรวจสอบข้อเท็จจริงแทนที่จะให้ตำรวจมาตรวจความบกพร่องของตำรวจกันเอง
หรือไม่ก็ส่งเรื่องให้คณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) เป็นผู้พิจารณาตาม พยาน หลักฐาน ข้อเท็จจริงจะได้ปรากฏ ต่อไปจะได้มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ “ตำรวจ” ช่วยเหลือกันเอง เห็นกับพวกพ้อง รวมทั้งไม่มีเสียงเรียกร้องให้ “ปฏิรูปตำรวจ” เหมือนอย่างทุกวันนี้