xs
xsm
sm
md
lg

ศาลสั่งจำคุก “เดอะกิ๊ก” กับลูกน้อง 12 ปี คดีรับสินบน-หมิ่นเบื้องสูง สารภาพลดโทษกึ่งหนึ่ง

เผยแพร่:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม


ศาลสั่งจำคุก “พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์” กับลูกน้อง 12 ปี คดีบ่อนพนัน หมิ่นเบื้องสูง และปฏิบัติมิชอบ สารภาพลดโทษเหลือ 6 ปี



วันนี้ (30 ม.ค.) ที่ห้องเวรชี้ ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดสอบคำให้การจำเลย คดีที่อัยการฝ่ายคดีอาญาเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อายุ 58 ปี อดีต ผบช.ก.กับพวกรวม 6 เป็นจำเลยรวม 3 คดี เมื่อช่วงเย็นวันที่ 29 ม.ค.ที่ผ่านมา โดยคดีที่ 1 เป็นคดีดำ อ.290/58 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา เป็นโจทก์ฟ้อง พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อายุ 58 ปี อดีต ผบช.ก. และ พล.ต.ต.โกวิทย์ วงศ์รุ่งโรจน์ อายุ 59 ปี อดีตรอง ผบช.ก. ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1-2 ตามลำดับในความผิดฐานร่วมกันหมิ่นประมาท, ดูหมิ่นแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี และองค์รัชทายาท เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่มิชอบ และจัดให้มีการเล่นการพนัน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 112, พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 41, 123/1 พ.ร.บ.การพนัน พ.ศ. 2478

อัยการโจทก์ฟ้องระบุพฤติการณ์ว่า เมื่อระหว่างวันที่ 11 ม.ค. - 30 ก.ค. 2554 ต่อเนื่องกัน จำเลยทั้งสองซึ่งเป็นเจ้าพนักงาน และเจ้าหน้าที่ของรัฐ กับพวกที่ยังหลบหนี ได้ใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่กระทำผิดหลายกรรม ด้วยการสนับสนุนจัดให้มีการเล่นการพนัน กำถั่ว ไพ่แปดเก้า โป๊กเกอร์ บาคาร่า และอื่นๆ ที่บ่อนกาพนันโคลอนเซ่ซึ่งเป็นบ่อนขนาดใหญ่ ตั้งอยู่เลขที่ 821 ถ.พระราม 9 แขวงบางกะปิ เขตวังทองหลาง เพื่อให้ได้เงินและทรัพย์สินอื่นๆ มาเพื่อประโยชน์ของตนและผู้อื่นโดยทุจริต นอกจากนี้ จำเลยทั้งสองยังได้กระทำผิดดูหมิ่นสถาบันด้วยการประดับเครื่องหมาย ภปร.ซึ่งเป็นพระนามาภิไธยย่อของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว บนไหล่เสื้อ และติดเหรียญภาพของพระองค์เจ้าทีปังกรรัศมีโชติ ไว้ที่ฝากระเป๋าเสื้อด้านซ้ายตลอดเวลาที่สวมเครื่องแบบราชการตำรวจ เพื่อเป็นการสื่อสารอันให้บุคคลอื่นเข้าใจ และเชื่อได้ว่าบ่อนการพนันโคลอนเซ่ได้รับการหนุนหลัง ต่อมาเจ้าพนักงานสอบสวนติดตามจับกุมตัวดำเนินคดี โดยจำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ

สำหรับคดีที่ 2 เป็นคดีดำ อ.291/2558 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 4 ได้เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีต ผบช.ก. พล.ต.ต.โกวิทย์ วงค์รุ่งโรจน์ อดีตรอง ผบช.ก. และ พล.ต.ต.บุญสืบ ไพรเถื่อน อดีตผู้บังคับการตำรวจน้ำ (ผบก.รน.) อายุ 55 ปี เป็นจำเลยในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานร่วมกันเรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยไม่ชอบ เพื่อกระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่งไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือไม่ชอบด้วยหน้าที่, เป็นเจ้าพนักงานร่วมกันปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นผู้ใด หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต และหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ ราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112, 157 และ 149

โดยคำฟ้องระบุพฤติการณ์สรุปว่า เมื่อระหว่างเดือน ก.พ. 2555 - ก.ค. 2557 ต่อเนื่องกัน ขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 1 ดำรงตำแหน่ง ผบช.ก. และจำเลยที่ 2 เป็นรอง ผบช.ก. ส่วนจำเลยที่ 3 เป็น ผบก.รน. ซึ่งจำเลยทั้งสามได้ร่วมกันเรียกรับทรัพย์สินเป็นเงินจากผู้ประกอบการลักลอบจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงโดยผิดกฎหมาย ในบริเวณน่านน้ำไทยเป็นรายเดือนจำนวนหลายราย และให้นำเงินมาส่งมอบแก่จำเลยที่ 2 ก่อนที่จำเลยที่ 2 จะนำเงินมาส่องมอบแก่จำเลยที่ 1 เพื่อแลกกับการไม่จับกุมผู้ประกอบการลักลอบจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงโดยผิดกฎหมายหลายครั้ง รวมเป็นเงิน 147.4 ล้านบาท ทำให้เกิดความเสียหายกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติและรัฐบาล

คำฟ้องระบุอีกว่า จำเลยที่ 3 ยังได้บังอาจดูหมิ่น หมิ่นประมาทองค์รัชทายาท โดยขณะที่ทำการเรียกรับเงินจากผู้ประกอบการลักลอบจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงโดยผิดกฎหมายนั้น ขณะกระทำความผิดจำเลยที่ 3 ได้แต่งเครื่องแบบข้าราชการตำรวจโดยติดเหรียญพระฉายาลักษณ์ของพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าทีปังกรรัศมีโชติฯ มาประดับไว้ที่บริเวณฝากระเป๋าเสื้อด้านซ้ายเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้แก่บุคคลทั่วไป โดยจำเลยที่ 3 ใช้มือชี้ไปยังพระบรมฉายาลักษณ์ฯ พร้อมอ้างว่าเงินส่วยที่เก็บไปนั้นจะต้องนำไปมอบให้ผู้บังคับบัญชาของตน เพื่อนำไปถวายให้กับองค์รัชทายาทด้วย ทำให้บุคคลทั่วไปเข้าใจว่าจำเลยที่ 3 นำเงินที่ได้รับโดยผิดกฎหมายนำขึ้นทูลเกล้าถวายแก่องค์รัชทายาท ทำให้เสื่อมเสียพระเกียรติยศ ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง ได้รับความเสียหาย เหตุเกิดที่ ต.บางด้วน อ.เมืองสมุทรปราการ จ.สมุทรปราการ และแขวงปทุมวัน เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร เกี่ยวพันกัน

ต่อมาเมื่อวันที่ 22 พ.ย. 2557 เจ้าพนักงานตำรวจได้ทำการจับกุมจำเลยทั้ง 3 ได้ พร้อมทำการสอบสวนแล้ว โดยเมื่อวันที่ 15 ธ.ค. 2557 เจ้าพนักงานได้ตรวจยึดสำเนาบัญชีจ่ายเงินจากผู้ประกอบการที่ลักลอบจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงโดยผิดกฎหมายเป็นของกลางนำส่งพนักงานสอบสวน ในชั้นสอบสวนจำเลยทั้งสาม ให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา

สำหรับคดีที่ 3 เป็นคดีดำ อ.292/2558 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 9 เป็นโจทก์ฟ้อง พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีต ผบช.ก., พล.ต.ต.โกวิทย์ วงศ์รุ่งโรจน์ อดีตรอง ผบช.ก. พ.ต.อ.วุฒิชาติ เลื่อนสุคันธ์ อายุ 46 ปี อดีต ผกก.4 ปคบ. ด.ต.สุรศักดิ์ จันเงา อายุ 50 ปี อดีต ผบ.หมู่ กก.2 ป.และ ด.ต.ฉัตรินทร์ หรือจักรินทร์ เหล่าทอง อายุ 48 ปี อดีต ผบ.หมู่ ปพ.ป. ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1-5 ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานร่วมกันปฏิบัติหน้าที่มิชอบ ข่มขืนใจ หรือจูงใดเพื่อให้บุคคลใดมอบหรือหามาให้ซึ่งทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดแก่ตนเองหรือผู้อื่น, เป็นเจ้าพนักงานร่วมกันเรียก รับ หรือยอมรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ และเป็นเจ้าพนักงานร่วมกันปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ หรือโดยทุจริตเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด

กรณีเมื่อระหว่างวันที่ 1 ต.ค. 2553 - 11 พ.ย. 2557 จำเลยทั้งห้า กับ พ.ต.อ.อัครวุฒิ์ หลิมรัตน์ อดีต ผกก.1 ป.(เสียชีวิตแล้ว) ได้บังอาจสมคบร่วมกันใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่โดยทุจริตของ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ จำเลยที่ 1 และ 2 ในการสรรหา คัดเลือก และลงนามในคำสั่งแต่งตั้งข้าราชการตำรวจในสังกัด บช.ก. สตช. และร่วมกับจำเลยที่ 3-5 กับพวกดังกล่าวร่วมกันวางแผน แบ่งหน้าที่กันทำ ข่มขืนใจ พ.ต.ต.ชาตรี รุ่งดำรง สว.ทล.1 กก.1 บก.ทล. และบุคคลอื่นอีกหลายคน มอบให้ หรือหามาซึ่งทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใด แก่จำเลยทั้งหากับพวก รายละ 3-5 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าตอบแทน ในการที่จะช่วยเหลือบุคคลดังกล่าวให้ได้รับการสรรหา คัดเลือก โดยให้ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ จำเลยที่ 1 ลงนามเพื่อมีคำสั่งแต่งตั้งไปปฏิบัติราชการในตำแหน่งสำคัญในสังกัด บช.ก. จากนั้น พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ จำเลยที่ 1 และ พล.ต.ต.โกวิทย์ จำเลยที่ 2 ในฐานะผู้บังคับบัญชา สั่งให้ พ.ต.ต.ชาตรีและพวกแต่ละรายจัดส่งเงินเป็นรายเดือนๆ ละ 10,000-2,000,000 บาท ให้กับจำเลยทั้งห้า กับพวกเป็นค่าตอบแทน เพื่อให้ พ.ต.ต.ชาตรีกับพวกอยู่ในตำแหน่งต่อไป อันเป็นการวมกันใช้ตำแหน่งโดยมิชอบ เหตุเกิดที่แขวงและเขตปทุมวัน, แขวงจอมพล เขตจตุจักร กทม. และที่อื่นเกี่ยวพันกัน ต่อมาวันที่ 22 พ.ย. 2557 เจ้าพนักงานจับจำเลยทั้งห้าได้ ดำเนินคดีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 148, 149, 157 ทำการสอบสวน โดยจำเลยที่ 1 และ 4 ให้การรับสารภาพ ส่วนจำเลยที่ 2, 3 และ 5 ให้การปฏิเสธ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันนี้ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ กับพวกอีก 5 คน ถูกนำตัวขึ้นรถ 6 ล้อควบคุมผู้ต้องขังเดินทางจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ สถานที่ควบคุมตัวโดยรถยนต์ 6 ล้อของเรือนจำมาศาล ทุกคนสวมชุดนักโทษสีน้ำตาลเข้ม สวมกุญแจมือ ไม่สวมรองเท้า พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์มีใบหน้าเรียบเฉย ท่าทางเซื่องซึมเศร้า หงอยเหงา ขณะที่จำเลยคนอื่นก็มีลักษณะท่าทางคล้ายกัน

โดยศาลได้อ่านและอธิบายคำฟ้องให้จำเลยทั้งหกฟังจนเข้าใจ แล้วสอบถามว่าจะให้การรับสารภาพ หรือปฺฏิเสธ ปรากฏว่าจำเลยทั้งหมดให้การรับสารภาพผิด ไม่ต่อสู้ทั้ง 3 คดี ทั้งนี้ คดีดำ อ.290/2558 ศาลกำลังพิจารณาเพื่อมีคำพิพากษาวันนี้ ส่วนอีก 2 คดี อ.291/2558 และคดี อ.292/2558 ศาลนัดสืบพยานโจทก์ประกอบคำรับสารภาพในวันที่ 23 ก.พ.นี้ เวลา 09.00 น.

ต่อมา เมื่อเวลา 14.00 น. วันนี้ ศาลได้ออกนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษาคดีดำ อ.290/58 ที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องพล.ต.ท.พงศ์พัฒน์   ฉายาพันธุ์   อายุ 58 ปี   อดีต ผบช.ก. กับ พล.ต.ต.โกวิทย์  วงศ์รุ่งโรจน์ อายุ 59 ปี อดีตรอง ผบช.ก . ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1-2 ตามลำดับในความผิดฐาน ร่วมกันหมิ่นประมาท ,ดูหมิ่นแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี และองค์รัชทายาท เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่มิชอบ และจัดให้มีการเล่นการพนัน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83,91,112 , พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542  มาตรา  41 , 123/1 พ.ร.บ. การพนัน พ.ศ. 2478 ฯ

กรณีเมื่อระหว่างวันที่ 11 ม.ค. – 30 ก.ค.2554   ต่อเนื่องกัน จำเลยทั้งสองซึ่งเป็นเจ้าพนักงาน และเจ้าหน้าที่ของรัฐ กับพวกที่ยังหลบหนีได้ร่วมกันจัดให้มีการเล่นการพนันที่บ่อนโคลอนเซ่ ย่านห้วยขวาง รวมทั้งดูหมิ่นสถาบันเบื้องสูง   ซึ่งเป็นการกระทำผิดกฎหมาย  ศาลสอบคำให้การจำเลย ที่ให้การรับสารภาพโดยดีแล้วเห็นว่า จำเลยทั้งสองกระทำผิดตามฟ้องจริง เป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้ลงโทษทุกกรรม

พิพากษาความผิดฐานดูหมิ่นสถาบันเบื้องสูง  ตาม มาตรา 112 จำคุกจำเลยคนละ 5 ปี ,ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่มิชอบ มาตรา  123/1  จำคุกคนละ 5 ปี  และฐานสนับสนุนให้มีการตั้งบ่อนการพนันฯ ตาม พ.ร.บ.การพนันฯ  จำคุกอีกคนละ 2 ปี รวมจำคุกจำเลยคนละ 12 ปี คำรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุกไว้คนละ 6 ปี

ต่อมาเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ได้นำตัวพล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ กับพวก เดินทางกลับไปควบคุมไว้ที่เรือนจำพิเศษต่อไป    













กำลังโหลดความคิดเห็น