xs
xsm
sm
md
lg

“ดีเอสไอ” เปลี่ยนชุด พงส.คดียักยอกทรัพย์เครดิตยูเนี่ยนกว่า 1.2 หมื่นล้าน

เผยแพร่:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม


“ดีเอสไอ” เปลี่ยนชุด พงส.คดียักยอกทรัพย์สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่นกว่า 1.2 หมื่นล้าน หลังผู้เสียหายกว่า 100 คนร้องขอ หลังคดีล่าช้า หวั่นคดีหมดอายุความ



เมื่อเวลา 09.30 น. วันนี้ (26 ม.ค.) ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม พร้อมด้วย น.ส.รชา เชื้อสำราญ กรรมการสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น และสมาชิกชมรมฟื้นฟูสหกรณ์เครดิตยูเนียนคลองจั่น กว่า 100 คนที่ได้รับความเสียหายจากกรณีที่นายศุภชัย ศรีศุภอักษร อดีตประธานสหกรณ์และพวกร่วมกันยักยอกทรัพย์สมาชิกมูลค่าความเสียหายกว่า 1.2 หมื่นล้านบาท ยื่นเรื่องต่อนางสุวณา สุวรรณจูฑะ อธิบดีดีเอสไอ เพื่อสอบถามความคืบหน้าของคดี และขอให้เปลี่ยนชุดพนักงานสอบสวน หลังจากคดีมีความล่าช้าเกือบ 2 ปี ซึ่งคดีมีอายุความเพียง 3 ปี ผู้เสียหายเกรงว่าคดีจะหมดอายุความก่อน โดยมี พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง รองอธิบดีดีเอสไอ เป็นตัวแทนรับเรื่อ

ทั้งนี้ ผู้เสียหายได้เปรียบเทียบกรณีนี้กับคดียักยอกเงินของสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) ที่มีความเสียหาย 1,600 ล้านบาท แต่มีความคืบหน้ารวดเร็วกว่า อีกทั้งมีการจับกุมผู้กระทำความผิดและคัดค้านการประกันตัว แตกต่างจากคดีนี้ที่ให้ประกันตัวผู้ต้องหา โดยนายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นผู้ประกันตัวผู้ต้องหา

นอกจากนี้ สมาชิกได้เรียกร้องให้ย้ายนายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เนื่องจากมีความไม่เหมาะสมที่ใช้ตำแหน่งประกันตัวนายศุภชัยหลังถูกดำเนินคดี

พ.ต.อ.ไพสิฐกล่าวว่า ข้อเรียกร้องให้มีการเปลี่ยนชุดพนักงานสอบสวนนั้น อธิบดีดีเอสไอได้มอบหมายให้ พ.ต.ท.สมบูรณ์ สาระสิทธิ์ ผู้บัญชาการสำนักคดีอาญาพิเศษ 3 ดำเนินการต่อ

ด้าน พ.ต.ท.สมบูรณ์กล่าวว่า ในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวนชุดใหม่จะยกเลิกพนักงานสอบสวนชุดเก่า และในส่วนของคดี 146/2556 ที่สรุปสำนวนส่งอัยการไปแล้วนั้นจะทำการสอบสวนเพิ่มเติม โดยพนักงานสอบสวนชุดใหม่จะนำข้อมูลเดิมมาดูรายละเอียด ถือเป็นการเริ่มทำคดีใหม่ สำหรับเรื่องฝากขังนายศุภชัยแล้วมีการประกันตัวโดยรองปลัดกระทรวงยุติธรรมนั้นเป็นดุลพินิจของศาล

นอกจากนี้ จากข้อมูลการสอบสวนพบว่า นายศุภชัยโอนเงินให้กับสมาชิกในกลุ่มสหกรณ์ ซึ่งดีเอสไอจะเรียกผู้เกี่ยวข้องมาสอบสวนเพิ่มเติมอีกครั้ง โดยจะตรวจสอบเส้นทางเส้นทางการเงินกับธนาคาร คาดว่าใช้เวลาประสานข้อมูลกับธนาคารไม่เกิน 15 วัน และจะตรวจสอบเส้นทางการเงินว่าเข้าข่ายการฟอกเงินหรือไม่ ทั้งนี้ที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่ได้อายัดทรัพย์สินของนายศุภชัย แล้วกว่า 320 รายการ ซึ่งบางส่วนได้ส่งให้สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ตรวจสอบ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สมาชิกสหกรณ์ได้รวมตัวกันบริเวณหน้าศาลฎีกา และร้องเพลงสดุดีมหาราชา ก่อนนำป้ายข้อความมายืนประท้วงหน้าตึกดีเอสไอ โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ทุ่งสองห้อง และเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของดีเอสไอมารักษาความปลอดภัยประตูทางเข้าตึกดีเอสไอระหว่างรอให้ผู้บริหารดีเอสไอมารับเรื่องร้องเรียน

ด้าน พ.ต.อ.ดุษฎี อารยวุฒิ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า ภายหลังการประชุมหารือร่วมกับทางกรมสอบสวนคดีพิเศษเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว จึงได้ข้อสรุปว่า จะมีการเปลี่ยนชุดพนักงานสอบสวนใหม่โดยให้ พ.ต.ท.สมบูรณ์ สาระสิทธิ์ ผู้บัญชาการสำนักคดีอาญาพิเศษ 3 เป็นหัวหน้าชุดพนักงานสอบสวนใหม่ โดยให้มารับผิดชอบคดีดังกล่าว พร้อมให้เจ้าหน้าที่ดีเอสไออีก 3 นาย เข้ามาช่วยสืบสวนทำงาน ประกอบด้วย พ.ต.ท.ปกรณ์ สุชีวกุล ผู้อำนวยการสำนักคดีการเงินการธนาคาร พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านคดีพิเศษ และร.ต.อ.สุรวุฒิ รังไสย์ รองผู้บัญชาการสำนักปฏิบัติการคดีพิเศษภาค โดยแบ่งการทำงานเป็น 3 ชุด 1.ชุดสอบสวน 2.ชุดติดตามเส้นทางการเงิน และ3.ชุดติดตามทรัพย์สิน

อย่างไรก็ตาม การดำเนินคดีในขณะนี้ยังไม่พบผู้ต้องหาเพิ่มเติม เบื้องต้นมีเพียง 5-6 รายเท่านั้น ซึ่งจะต้องมีการขยายผลเพิ่มเติมต่อไป โดยคดีนี้ พ.ต.ท.วรรณพงษ์ คชรักษ์ รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ จะเป็นผู้ควบคุมกำกับดูแลอย่างใกล้ชิด หลังจากรับมอบสำนวนคดีแล้วจะมีการเรียกประชุมคณะทำงานอีกครั้งในวันจันทร์ที่ 2 ก.พ.นี้ และให้ทางสมาชิกสหกรณ์ฯ ตั้งตัวแทนขึ้นมา4-5คนเพื่อประสานข้อมูลกับเจ้าหน้าที่ในการติดตามสอบสวนเพิ่มเติม

สำหรับการกำหนดกรอบในการทำงานนั้นไม่ได้กำหนดระยะเวลาว่าจะสอบสวนเสร็จเมื่อไหร่ เนื่องจากต้องดูที่การรวบรวมพยานหลักฐาน นอกจากนี้ ต้องตรวจสอบเช็คจำนวนกว่า 800 ฉบับ ที่นายศุภชัยสั่งจ่ายไป เพื่อหาเส้นทางการเงินว่ามีใครมีส่วนเกี่ยวข้องและมีอำนาจเหนือกว่านายศุภชัยอีกหรือไม่ รวมถึงผู้อยู่เบื้องหลังด้วย

รองปลัดกระทรวงยุติธรรม กล่าวอีกว่า จะตรวจสอบรูปแบบการได้มาซึ่งตำแหน่งของผู้บริหาร ว่ามีความโปร่งใส และเป็นไปอย่างถูกกฎระเบียบข้อบังคับของสหกรณ์หรือไม่ รวมถึงกรณีการสั่งจ่ายเช็คตั้งแต่ปี2552-2555 จำนวนกว่า 800 ฉบับ มูลค่ากว่า 1 หมื่นล้านบาท เพื่อตรวจสอบว่าเงินเหล่านี้มีการโอนไปให้ใครบ้าง

อย่างไรก็ตามจะมีการประสานไปยังสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ว่าดำเนินคดีถึงไหน โดยปปง.จะดำเนินการเรื่องการฟอกเงินควบคู่ไปด้วย

ทั้งนี้ ที่ผ่านมาจากการประสานงานกับ ปปง. พบว่าได้มีการอายัดทรัพย์สินไปแล้วกว่า 302 รายการ มูลค่า 3,000 ล้านบาท เช่นโฉนดที่ดินในอำเภอสีคิ้วกว่า 300 แปลง และมีการคืนให้นายศุภชัย ศรีศุภอักษร อดีตประธานสหกรณ์เครดิตยูเนียนจั่น ผู้ต้องหารายสำคัญ จำนวน 36 แปลง ก่อนนำไปขายในราคา 100 ล้านบาท และนำเงินที่ได้ส่งให้สหกรณ์เพื่อเพิ่มสภาพคล่องในการบริหารและจ่ายสมาชิกบางส่วน

รองปลัดกระทรวงยุติธรรม ยังกล่าวอีกว่า ได้สอบถามไปยังผู้บริหารของสหกรณ์ที่ได้เงินจากการขายที่ดินจำนวน 100 ล้านบาท ได้จ่ายเงินคืนไปให้กับสมาชิกคนใดบ้าง ซึ่งได้รับคำชี้แจงจากผู้บริหารว่าเป็นเพียงพ่อค้าธรรมดาไม่เกี่ยวข้องกับนักการเมือง จึงต้องมีการตรวจสอบข้อมูลว่าเป็นความจริงหรือไม่

ส่วนกรณีที่นายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม ใช้ตำแหน่งยื่นประกันตัวนายศุภชัย เหมาะสมหรือไม่ พ.ต.อ.ดุษฎี ระบุว่า ตนไม่สามารถตัดสินความคิดเห็นแทนนายธวัชชัย ได้ เนื่องจากเป็นเรื่องส่วนตัว โดยก่อนหน้านี้นายธวัชชัย ได้ทำหนังสือชี้แจงเรื่องดังกล่าวให้กับ พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรม พล.ต.อ.ชัชวาล สุขสมจิตต์ ปลัดกระทรวงยุติธรรม และตนเอง แล้ว

อย่างไรก็ตาม กรณีนี้ หากเป็นตน ก็จะมีการพิจารณาเรื่องนี้ซึ่งเกี่ยวข้องกับความเสียหายของคนจำนวนมากและมีหน่วยงานราชการหลายแห่งนำเงินมาฝากไว้กับสหกรณ์แห่งนี้ จึงเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนซึ่งจะต้องให้ความเป็นธรรมกับผู้เสียหาย "หากเป็นผมคงไม่ทำเช่นนี้”พ.ต.อ.ดุษฎี กล่าว

พ.ต.อ.ดุษฎี กล่าวด้วยว่า ที่ผ่านมาพนักงานสอบสวนยืนยันได้คัดค้านการประกันตัวนายศุภชัย ทุกครั้ง แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของศาลและจำนวนหลักทรัพย์ที่ค้ำประกันด้วย

ขณะที่นายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม ชี้แจงกรณีใช้ตำแหน่งทางราชการประกันตัวนายศุภชัย "หากกระทรวงยุติธรรมเห็นว่า การกระทำของข้าพเจ้าฯ แม้กฎหมายให้สามารถกระทำได้ แต่หากกระทรวงยุติธรรมพิจารณาในมิติเชิงจริยธรรมแล้ว อาจทำให้กระทรวงยุติธรรมเกิดความเสียหาย ในส่วนของข้าพเจ้าฯ ในฐานะนักบริหารงานยุติธรรมและนักอาชญาวิทยาก็จำเป็นต้องรักษาหลักการตามรัฐธรรมนูญที่ให้สันนิษฐานว่า “ผู้ที่ถูกกล่าวหาหรือดำเนินคดีอาญานั้น ตราบใดที่ศาลยังไม่มีคำพิพากษาถึงที่สุดว่าเป็นผู้กระทำความผิด ให้ถือว่าเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่” ดังกล่าว และสมควรต้องได้รับสิทธิในการในการปล่อยชั่วคราวตามกฎหมายเพื่อมาต่อสู้คดี เมื่อผนวกกับความเป็นเพื่อนที่เคารพนับถือกันมานานนับสิบๆปี ซึ่งนิสัยข้าพเจ้าฯ และครอบครัวไม่เคยทิ้งเพื่อน แต่จะไม่มีทางช่วยคนกระทำความผิดไม่ต้องรับโทษตามกฎหมาย

ดังนั้น เพื่อเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้บริหารมีทางเลือกได้อย่างสบายใจ และข้าพเจ้าฯ ไม่มีอะไรที่จะน้อยเนื้อต่ำใจหรือติดค้าง และเคารพในการตัดสินใจของผู้บริหาร โดยข้าพเจ้าฯ ยินดีที่จะเลือกแสดงความรับผิดชอบด้วยการรักษากระทรวงยุติธรรม และหลักการดังกล่าว โดยขอให้พิจารณาย้ายข้าพเจ้าฯ ออกจากการเป็นผู้บริหารกระทรวงฯ ในตำแหน่งรองปลัดกระทรวงยุติธรรมไปอยู่ในตำแหน่งที่เห็นว่าเหมาะสม และไม่อยู่ในสถานะที่จะสร้างความเสียหายแก่กระทรวงยุติธรรม ตามที่เห็นสมควร โดยที่ข้าพเจ้าฯ ก็จะยังยืนยันจะตั้งใจทำงานในฐานะเป็นข้าราชการมืออาชีพ และรักษากติกามารยาทของการเป็นนักบริหารงานยุติธรรมที่ดี ไม่ช่วยให้คนทำผิดต้องลอยนวล หรือไม่ต้องรับโทษตามคำพิพากษา และให้คำมั่นต่อผู้บริหารว่า ข้าพเจ้าฯ ยังจะดำเนินการตามกรอบรัฐธรรมนูญและกฎหมาย หัวเด็ดตีนขาดแม้ฟ้าจะถล่มดินจะทลายอย่างข้าพเจ้าฯ ก็จะไม่ทีทางประพฤติชั่ว หรือแสวงหาประโยชน์จากการเป็นข้าราชการ" นายธวัชชัย กล่าว




กำลังโหลดความคิดเห็น