ASTVผู้จัดการ - ศาลทหารออกหมายจับ “นพพร ศุภพิพัฒน์” ประธาน “วินด์ เอนเนอร์ยี่ โฮลดิ้ง” หนุ่มนักธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานลม มหาเศรษฐีที่อายุน้อยที่สุด ติดอันดับ 31 ใน 50 ของมหาเศรษฐีประจำปี 57 ฐานหมิ่นเบื้องสูงตั้งแก๊งอุ้มทวงหนี้ เครือข่าย “พงศ์พัฒน์”
วันนี้ (2 ธ.ค.) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ ผู้ช่วย ผบ.ตร.รรท.ผบช.ก. ในฐานะโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวถึงความคืบหน้าเงินรางวัลนำจับ 1 ล้านบาทแก่ผู้ที่ให้ข้อมูลหรือแจ้งเบาะแสจนไปสู่การจับกุมนายสหชัย เจียรเสริมสิน หรือเสี่ยโจ้ ผู้ต้องหาคดีฟอกเงิน และลักลอบค้าน้ำมันเถื่อนทางภาคใต้ ว่า ได้มีผู้ประสานเข้ามาเหมือนกัน และมีการชี้ช่องทางและชี้ข้อมูลว่าน่าจะอยู่ที่ไหน แต่ว่ายังเป็นแค่คำสมมติฐานเพราะยังไม่มีใครเห็นตัวหรือส่งรูปถ่ายมาให้ว่าอยู่ตรงไหน แต่มีการเช็กแล้วน่าจะอยู่ในประเทศเพื่อนบ้านแนวชายแดนไทย อยู่ในประเทศใกล้ๆ แต่ก็ยังไม่มีหลักฐานยืนยันเป็นรูปถ่ายหรือรายละเอียดชัดเจน ทางเรากำลังเร่งติดตามจับกุมตัว หากเข้ามาในชายแดนไทยก็คงดำเนินการทันที ซึ่งข้อมูลยังไม่ชัดเจนบอกแค่ว่ามีคนพบเห็นว่าอยู่ที่ไหน เป็นการส่งข่าวเท่านั้นเอง ส่วนใหญ่เป็นผู้หวังดี แต่ถ้ามีเงินรางวัลเป็นค่าตอบแทนก็จะกล้าที่จะหาข้อมูลและรายละเอียดมากยิ่งขึ้น ขณะนี้ยังไม่สามารถเปิดเผยได้ว่าผู้หวังดีแจ้งมาช่องทางไหน
ผู้สื่อข่าวถามว่า ให้น้ำหนักแค่ไหนกับข้อมูลที่ได้มา พล.ต.ท.ประวุฒิกล่าวว่า ทางเราทำทุกทาง ไม่ได้มุ่งเน้นผู้ที่เข้ามาแจ้งเบาะแสอย่างเดียว เพราะการสืบสวนทางการลับมีข้อมูลอยู่บ้างแล้ว โดยข้อมูลจากผู้หวังดีใกล้เคียงกับข้อมูลของเรา
ผู้สื่อข่าวถามอีกว่า ขณะนี้นายสหชัย เจียรเสริมสิน หรือเสี่ยโจ้ เข้าไปอยู่ภายใต้การดูแลของใคร ทาง พล.ต.ท.ประวุฒิกล่าวว่า ตอนนี้ยังไม่สามารถระบุได้ชัดเจน แต่ว่าทางการลับเรารู้อยู่พอสมควร แต่ยังพูดไม่ได้ ผู้สื่อข่าวถามต่อว่า เป็นไปได้ไหมว่าเกี่ยวกับกลุ่มความไม่สงบ เนื่องจากเป็นพื้นที่รอยต่อ โฆษก ตร.กล่าวว่า เรื่องความไม่สงบของ 3 จังหวัดชายแดนใต้ต้องตัดไปเลย ไม่เกี่ยวข้อง เป็นเรื่องการหาผลประโยชน์ธุรกิจที่ผิดกฎหมายอย่างเดียวเลย หากถามว่ามีโอกาสแค่ไหนที่จะได้ตัวเสี่ยโจ้นั้น น่าจะ 50% แต่อาจต้องใช้เวลาหน่อย ขณะนี้มีการประสานกับประเทศเพื่อนบ้านอยู่ และมีการดำเนินการประสานไปยังตำรวจสากล หรืออินเตอร์โพล ขอเป็นหมายแดง หรือหมายเฝ้าระวัง เวลาผู้ต้องหาปรากฏตัวที่ประเทศไหนก็จะแจ้งมาที่เราว่าขณะนี้อยู่ที่ไหน ถึงแม้ไม่มีหมายจับก็ใช้หมายแดงได้
ผู้สื่อข่าวถามว่า ขณะนี้มีความชัดเจนแค่ไหนว่าเสี่ยโจ้กับ พล.ต.ท.พงศพัฒน์มีความเชื่อมโยงกัน ผู้ช่วย ผบ.ตร.กล่าวว่า เท่าที่หลักฐานชัดเจนคือการเชื่อมโยงกับนายตำรวจที่จับกุมไปก่อนหน้านี้ เรื่องนี้เป็นหลักฐานในสำนวนขอไม่เปิดเผย อย่างไรก็ตาม ในส่วนที่จะมีการเพิ่มวงเงินรางวัลนำจับตัวเสียโจ้นั้น ส่วนตัวคิดว่ารางวัลนำจับในขณะนี้ถือว่าเป็นตัวเงินที่สูงแล้วไม่น่าจะมีการเพิ่มเงินรางวัลนำจับแต่อย่างใด
ถามว่านอกจากเสี่ยโจ้แล้วมีเครือข่ายอื่นๆ ร่วมขบวนการอีกหรือไม่ โฆษก สตช.กล่าวว่า ในขบวนการมีลูกน้อง แนวทางการสืบสวนยังดำเนินการต่อก็ต้องขยายผลไปถึง ซึ่งคดีของ พล.ต.ท.พงศพัฒน์ จะมีการออกหมายจับเพิ่มหรือไม่นั้น ขณะนี้หมายจับเท่าที่ดูหมดแล้วไม่มีการออกหมายจับเพิ่มนอกเสียจากมีหลักฐานใหม่ และเป้าของขบวนการคืบหน้าไปกว่า 90% แล้ว
ผู้สื่อข่าวได้สอบถามอีกว่า ก่อนหน้านี้มีกระแสว่ามีตำรวจเข้าไปเกี่ยวข้องจำนวนกว่า 50 นาย รรท.ผบช.ก.กล่าวว่า เรื่องของโพยที่ยึดได้ที่ต้องไปตรวจสอบรายชื่อรายละเอียด โพยดังกล่าวทำขึ้นโดยฝ่ายที่ประกอบธุรกิจผิดกฎหมายให้ชัดเจนเพื่อที่จะดำเนินการ ขอย้ำว่าเจ้าหน้าที่ทำทุกอย่างให้ตรงไปตรงมา สังคมยังสงสัย เราต้องออกมาชี้แจง ไม่มีการตัดตอนแน่นอน
พล.ต.ท.ประวุฒิกล่าวถึงความคืบหน้าการติดตามตัว พ.ต.ท.ทรงรักษ์ ขุนศรี รอง ผกก.6 บก.ป.ว่า ขณะนี้ยังไม่ได้มีการติดต่อเข้ามารายงานตัวแต่อย่างใด อยู่ระหว่างการประสาน และไม่มีการจับกุมเนื่องจากไม่ได้อยู่ในฐานะนั้น มีเพียงการออกหมายเรียก ซึ่งถ้าออกหมายเรียกครบ 3 ครั้งแล้วไม่เดินทางมาก็จะมีการออกหมายจับต่อไปในข้อหาไม่มาให้ถ้อยคำ ซึ่งหากพบว่ามีส่วนหลักฐานเชื่อมโยงก็จะดำเนินคดี แต่เบื้องต้นขณะนี้เป็นการออกหมายเรียกเท่านั้น
โฆษก ตร.กล่าวด้วยว่า สำหรับการดำเนินการถอดยศตำรวจที่เกี่ยวข้องกับคดีนี้ เนื่องจากการถอดยศนั้น สำนักงานตำรวจแห่งชาติมีเงื่อนไขระบุว่าตำรวจนายนั้นต้องคำพิพากษาของศาลถึงที่สุดให้จำคุก และกระทำผิดทางวินัยอย่างร้ายแรงซึ่งต้องมีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาพิจารณา และเป็นอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการ ขณะนี้กระบวนการยังไม่ถึงขั้นนั้น เป็นเพียงการดำเนินการทางวินัยและอาญา อย่างไรก็ตามในส่วนของการสรุปสำนวนคดีนี้นั้น ขอเวลาสักระยะเนื่องจากอยู่ระหว่างการจัดทำของกลางที่ใช้ระยะเวลาประมาณ 1 เดือน เพราะนอกจากการตรวจนับจำนวน ลักษณะแล้วต้องตรวจสอบด้วยว่าของกลางชิ้นไหนเป็นของแท้ไม่แท้ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาภายหลัง
พล.ต.ท.ประวุฒิกล่าวว่า ล่าสุดศาลทหารกรุงเทพได้อนุมัติออกหมายจับ นายนพพร ศุภพิพัฒน์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท วินด์ เอนเนอร์ยี่ โฮลดิ้ง จำกัด ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลทหารกรุงเทพ เลขที่ 138 /2557 ลงวันที 1 ธ.ค. 2557 ในข้อหาร่วมกันหมิ่นประมาท ดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ จ้างวานใช้ให้ผู้อื่นกระทำการร่วมกันทำร้ายผู้อื่น ร่วมกันทำให้เสียทรัพย์ ร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใด ไม่กระทำการใด หรือจำยอมต่อสิ่งใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียง หรือทรัพย์ของผู้ถูกข่มขืนใจนั้นเองหรือของผู้อื่นโดยใช้กำลังประทุษร้าย จนผู้ถูกข่มขืนใจต้องกระทำการนั้น ไม่กระทำการนั้น หรือจำยอมต่อสิ่งนั้น โดยมีอาวุธ โดยร่วมกันกระทำความผิดตั้งแต่ห้าคนขึ้นไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว วานนี้ทางพนักงานสอบสวนได้เดินทางไปขอหมายจับที่ศาลทหาร เนื่องจากวันที่ 23 มิถุนายน 2557 ซึ่งเป็นวันเกิดเหตุ เป็นช่วงที่มีการประการใช้กฎอัยการศึกของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช.
สำหรับนายนพพร ศุภพิพัฒน์ ถือเป็นหนึ่งในมหาเศรษฐีที่อายุน้อยที่สุด ติดอันดับ 31 ใน 50 ของมหาเศรษฐีประจำปี 2557 ที่จัดขึ้นโดยนิตยสาร ฟอร์บส์ ไทยแลนด์ (FORBES THAILAND) ที่ร่ำรวยจากธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานลม และมีมูลค่าทรัพย์สินกว่า 25,600 ล้านบาท นอกจากเป็นประธานบริษัท วินด์ เอนเนอร์ยี่แล้วยังเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ผ่านบริษัท รีนิวเอเบิล เอนเนอยี คอร์เปอร์เรชั่น ซึ่งถืออยู่ในวินด์ เอนเนอร์ยี่ กว่า 63% ขณะที่บริษัท รีนิวเอเบิล เอนเนอยี เป็นบริษัทที่นายนพพรถือหุ้นอยู่มากถึง 74.5% ร่วมกับบริษัท เน็กซ์ โกลบอล อินเวสต์เมนท์ ในฮ่องกงที่ถืออยู่ 24.5%