รรท.ผช.ผบ.ตร. แถลงข่าวรวบตัว “วิทยา เทศขุนทด” ผู้ต้องหาเครือข่าย “พงศ์พัฒน์” กรณีอ้างเบื้องสูงทวงหนี้คนสุดท้าย หลังสอบสวนเสร็จสิ้นที่ บช.น.
วันนี้ (1 ธ.ค.) เมื่อเวลา 19.20 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ควบคุมตัว นายวิทยา เทศขุนทด ผู้ต้องหาเครือข่าย พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีตผู้บัญชาการสอบสวนกลาง มาทำการสอบสวนที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล จากนั้น พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ รรท.ผช.ผบ.ตร. ได้แถลงแถลงข่าวถึงกรณีดังกล่าว
โดย นายวิทยา ได้ถูกดำเนินคดีในข้อหา คือ 1. ร่วมกันหมิ่นประมาท ดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์, ร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่น 2. ร่วมกันทำให้เสียทรัพย์ 3. ร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใด ไม่กระทำการใด หรือยอมจำนนต่อสิ่งใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียง หรือทรัพย์ของผู้ถูกข่มขืนใจ หรือของผู้อื่นโดยใช้กำลังประทุษร้าย จนผู้ถูกข่มขืนใจต้องกระทำการนั้น ไม่กระทำการนั้น หรือยอมจำนนต่อสิ่งนั้นโดยมีอาวุธ โดยร่วมกระทำความผิดกันตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป
ต่อมา เมื่อเวลา 21.00 น. ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ ผช.ผบ.ตร. พร้อมด้วย พล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ผบช.น. พล.ต.ต.ชวลิต ประสพศิลป ผบด.น.5 พล.ต.ต.วิสูตร ฉัตรชัยเดช ผบก.น.6 และ พ.ต.อ.เกียรติณรงค์ เฉลิมสุข ผกก.สน.วัดพระยาไกร แถลงผลการจับกุม นายวิทยา เทศขุนทด หรือ แท็ค อายุ 26 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับทหารที่ 129/2557 ลงวันที่ 28 พ.ย. 57 ในความผิดร่วมกันหมิ่นประมาท ดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่น ร่วมกันทำให้เสียทรัพย์ ร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่น ให้กระทำการใดไม่กระทำการใด หรือยอมจำนนต่อสิ่งใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียง หรือทรัพย์ของผู้ถูกข่มขืนใจนั้นเอง หรือของผู้อื่นโดยใช้กำลังประทุษร้าย จนผู้ถูกข่มขืนใจต้องกระทำการนั้น ไม่กระทำการนั้น หรือยอมจำนนต่อสิ่งนั้นโดยมีอาวุธ โดยร่วมกระทำความผิดตั้งแต่ห้าคนขึ้นไป
พล.ต.ท.ประวุฒิ กล่าวว่า นายวิทยา เทศขุนทด 1 ในผู้ต้องหาทั้ง 8 ราย ที่เข้ามอบตัวกับเจ้าหน้าที่ บริเวณหน้าสถานีไทยพีบีเอส ถนนวิภาวดีรังสิต แขวงตลาดบางเขน เขตหลักสี่ กทม. ในกรณีทำร้ายร่างกาย นายบัณฑิต โชติวิทยะกุล ข่มขู่ให้ลดหย่อนหนี้ของ นายนพพร ศุภพิพฒน์ จำนวนเงิน 120 ล้านบาท เหลือ 20 ล้านบาท ต่อมาทางเจ้าหน้าที่ได้ขออนุมัติหมายศาลออกหมายจับเพิ่มเติมอีก 2 ราย คือ นายนพพร ศุภพิพัฒน์ อายุ 43 ปี ที่เป็นลูกหนี้ของผู้เสียหาย และผู้ว่าจ้างให้กลุ่มของผู้ต้องหามาทำร้ายร่ายกาย และข่มขู่ เพื่อลดหย่อนหนี้สินให้ หากข่มขู่จนผู้เสียหายยอมลดหนี้ให้ อ้างว่าจะให้ค่าตอบแทน 10% และ นายสุทธิศักดิ์ อัครพงศ์ปรีชา ผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมตัวกรณีทวงหนี้ในพื้นที่สน.พระโขนง ซึ่งทางเจ้าหน้าที่จะอายัติตัวมาดำเนินคดีด้วย
พล.ต.ท.ประวุฒิ กล่าวต่อว่า ส่วน สิบเอก ณธกร ยาศรี อายุ 29 ปี และ สิบเอก ธีรพงศ์ ช่อจำปี อายุ 28 ปี มีนายทหารพระธรรมนูญควบคุมไปสอบสวนตามกฎอัยการศึก โดยไม่ต้องควบคุมตัวมาส่งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสอบปากคำ หากเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องการจะสอบปากคำเพิ่มเติม สามารถไปสอบปากคำผู้ต้องหาได้ที่เรือนจำ
ด้าน นายวิทยา เทศขุนทด ให้การว่า ตนรู้จักกับ นายชากานต์ ภาคภูมิ เพราะเคยไปสมัครเป็นการ์ดในร่านอาหารแห่งหนึ่งย่านรามอินทรา ซึ่งในวันเกิดเหตุตนได้รับเงินค่าจ้างจากนายชากานต์จำนวนเงิน 4,000 บาท ให้ดูแลความปลอดภัย และเจรจากับผู้เสียหายเท่านั้น แต่เมื่อเจรจาไม่ลงตัว ตนจึงทำร้ายร่างกายผู้เสียหาย และคว้าท่อนเหล็กมาทุบกระจกรถของผู้เสียหาย ส่วนเหตุที่เข้ามอบตัว ตนได้เบอร์ผู้สื่อข่าวไทยพีบีเอสมาจากอินเทอร์เน็ต จากนั้นผู้สื่อข่าวคนดังกล่าวก็ติดต่อมายัง บช.น. เจ้าหน้าที่จึงมารับตัวไปดำเนินคดี ส่วนอาวุธปืน 3 กระบอก เป็นของเพื่อนที่มาจำนำไว้ ที่โดนแจ้งข้อหาพกพาอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต ที่ สน.วัดพระยาไกร มาแล้ว
ทั้งนี้ จะนำตัว นายวิทยา เทศขุนทด หรือ แท็ค ไปควบคุมตัวที่ สน.วัดพระยาไกร และในวันพรุ่งนี้ (2 ธ.ค.)จะควบคุมตัวไปฝากขังที่ศาลทหารกรุงเทพฯ