พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผช.ผบ.ตร.) ในฐานะรักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (รรท.ผบช.ก.) แถลงข่าวจับผู้ต้องหาเครือข่าย พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีตผบช.ก.ว่า ล่าสุด เมื่อช่วงกลางดึกที่ผ่านมา (29 พ.ย.) นายณัฐนันท์ ทานะเวช และนายชลัช โพธิราช ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลทหาร ในความผิดฐานหมิ่นเบื้องสูงตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่น ร่วมกันทำให้เสียทรัพย์ ร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่น ให้กระทำการใดไม่กระทำการใดให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อร่างกายหรือยอมจำนนต่อสิ่งนั้นโดยมีอาวุธ โดยร่วมกันกระทำผิดตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป ถูกชุดสืบสวนจากกองกำกับการสืบสวนสอบสวน กองบังคับการตำรวจนครบาล 5 จับกุมได้ที่บ้านพักเลขที่ 3 ซอยสุทธิพงษ์ 4 แขวงดินแดน
พล.ต.ท.ประวุฒิ กล่าวว่า หลังจากการที่มีการออกหมายจับผู้ต้องหา 5 คน เมื่อนายชลัช และนายณัฐนันท์ ทราบและถูกกดดันจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ จึงได้ติดต่อเจ้าหน้าที่เพื่อขอมอบตัว
สำหรับพฤติกรรมของผู้ต้องหาได้ข่มขู่นายบัณฑิต โชติวิทยะกุล ผู้เสียหาย เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน เพื่อขอลดหนี้ที่นายนพพร ศุภพิพฒน์ มาขอกู้ยืมกว่า 120 ล้านบาท แต่ถูกกลุ่มผู้ต้องหาพยายามอุ้มตัวไปเพื่อข่มขู่และขอให้ลดหนี้เหลือ 20 ล้านบาท ซึ่งผู้เสียหายไม่ยินยอมและมีปากเสียงกัน กระทั่งมีชาวบ้านในละแวกนั้นมามุงดู เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงเข้าควบคุมเหตุการณ์และเชิญตัวไปที่ สน.วัดพระยาไกร ก่อนจะปล่อยตัวทั้งผู้ต้องหาและผู้เสียหาย จากนั้นได้มีการไปเจรจาประนอมหนี้ที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งย่านพุทธมณฑล และได้มีการแอบอ้างเบื้องสูงและพยายามจะอุ้มผู้เสียหายอีกครั้ง จนกระทั่งเข้าแจ้งความในเวลาต่อมา
ผู้ต้องหาทั้งหมดให้การรับสารภาพทุกข้อกล่าวหา โดยนายชลัช ให้การว่า ตนเองเป็นคนขับรถให้กับนายชากานต์ ภาคภูมิ ที่ถูกจับกุมไปก่อนหน้านี้ ซึ่งวันเกิดเหตุมีหน้าที่ขับรถไปเชิญตัวผู้เสียหายตามคำสั่ง ซึ่งยืนยันว่าขณะเชิญตัวไม่มีการพกพาอาวุธ และได้ค่าจ้างคนละ 4,000 บาท พร้อมยอมรับว่าเคยเจอกับคนในตระกูลอัครพงศ์ปรีชาจริง แต่ไม่เคยพูดคุยด้วยเพราะมีหน้าที่ขับรถมาส่งเจ้านายเท่านั้น
สำหรับคดีนี้ยังเหลือผู้ต้องหาตามหมายจับอีก 3 รายที่ยังหลบหนีอยู่ คือ นายวิทยา เทศขุนทด ส.อ.ณธกร ยาศรี และ ส.อ.ธีรพงศ์ ช่อจำปี ที่ยังหลบหนีแต่มีรายงานว่าผู้ต้องหาบางรายได้ติดต่อขอเข้ามอบตัวภายใน 1-2 วันนี้แล้ว ซึ่งผู้ต้องหาทั้งหมดมีความเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับเครือข่ายผู้ต้องหาของ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพัฒน์ อดีตผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง
พล.ต.ท.ประวุฒิ กล่าวว่า หลังจากการที่มีการออกหมายจับผู้ต้องหา 5 คน เมื่อนายชลัช และนายณัฐนันท์ ทราบและถูกกดดันจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ จึงได้ติดต่อเจ้าหน้าที่เพื่อขอมอบตัว
สำหรับพฤติกรรมของผู้ต้องหาได้ข่มขู่นายบัณฑิต โชติวิทยะกุล ผู้เสียหาย เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน เพื่อขอลดหนี้ที่นายนพพร ศุภพิพฒน์ มาขอกู้ยืมกว่า 120 ล้านบาท แต่ถูกกลุ่มผู้ต้องหาพยายามอุ้มตัวไปเพื่อข่มขู่และขอให้ลดหนี้เหลือ 20 ล้านบาท ซึ่งผู้เสียหายไม่ยินยอมและมีปากเสียงกัน กระทั่งมีชาวบ้านในละแวกนั้นมามุงดู เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงเข้าควบคุมเหตุการณ์และเชิญตัวไปที่ สน.วัดพระยาไกร ก่อนจะปล่อยตัวทั้งผู้ต้องหาและผู้เสียหาย จากนั้นได้มีการไปเจรจาประนอมหนี้ที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งย่านพุทธมณฑล และได้มีการแอบอ้างเบื้องสูงและพยายามจะอุ้มผู้เสียหายอีกครั้ง จนกระทั่งเข้าแจ้งความในเวลาต่อมา
ผู้ต้องหาทั้งหมดให้การรับสารภาพทุกข้อกล่าวหา โดยนายชลัช ให้การว่า ตนเองเป็นคนขับรถให้กับนายชากานต์ ภาคภูมิ ที่ถูกจับกุมไปก่อนหน้านี้ ซึ่งวันเกิดเหตุมีหน้าที่ขับรถไปเชิญตัวผู้เสียหายตามคำสั่ง ซึ่งยืนยันว่าขณะเชิญตัวไม่มีการพกพาอาวุธ และได้ค่าจ้างคนละ 4,000 บาท พร้อมยอมรับว่าเคยเจอกับคนในตระกูลอัครพงศ์ปรีชาจริง แต่ไม่เคยพูดคุยด้วยเพราะมีหน้าที่ขับรถมาส่งเจ้านายเท่านั้น
สำหรับคดีนี้ยังเหลือผู้ต้องหาตามหมายจับอีก 3 รายที่ยังหลบหนีอยู่ คือ นายวิทยา เทศขุนทด ส.อ.ณธกร ยาศรี และ ส.อ.ธีรพงศ์ ช่อจำปี ที่ยังหลบหนีแต่มีรายงานว่าผู้ต้องหาบางรายได้ติดต่อขอเข้ามอบตัวภายใน 1-2 วันนี้แล้ว ซึ่งผู้ต้องหาทั้งหมดมีความเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับเครือข่ายผู้ต้องหาของ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพัฒน์ อดีตผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง