คดีฆาตกรรมสองแม่ลูกตระกูล “ศรีธนะขัณฑ์”เมื่อปี 2537 ถือว่าเป็นเรื่องราวที่สะเทือนขวัญสุจริตชนมากที่สุดคดีหนึ่งนั่นเพราะนอกจากเหยื่อจะเป็นเด็กผู้บริสุทธิ์และสตรีที่ไม่มีทางสู้รบปรบมืออะไรได้แล้ว กลุ่มผู้ต้องหาหรือตัวผู้กระทำความผิดส่วนใหญ่ยังเป็นตำรวจอันหมายถึงผู้พิทักษ์สันติราษฎร์จึงเพิ่มความเข้มข้น จนไม่น่าเชื่อว่าความโหดเหี้ยมทารุณอย่างนี้จะเกิดขึ้นได้ในสังคมไทย
เรื่องราวสะท้านความรู้สึกครั้งนั้นแม้จะผ่านมานานถึง 20 ปีแต่ข่าวเล็กๆชิ้นหนึ่งเกี่ยวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบปราม เคลื่อนย้ายรถเบนซ์ รุ่น 230 อี สีขาวหมายเลขทะเบียน 8 ฉ 3237 กทม.ซึ่งเป็นรถของกลางคดีอุ้มฆ่านางดาราวดี ศรีธนะขัณฑ์ และ ด.ช.เสรี ศรีธนะขัณฑ์ ภรรยา-ลูกชายนายสันติ ศรีธนะขันธ์ เจ้าของร้านเพชรย่านบ้านหม้อ ตัวละครสำคัญที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับคดีโจรกรรมเพชรซาอุฯพร้อมกับขอให้นายสันติ เจ้าของมารับกลับคืนเนื่องจากคดีความหมดอายุไปแล้วและเจ้าหน้าที่ไม่อาจแบกภาระให้ต่อไปได้
ข่าวถูกนำเสนอในแนวชวนขนลุกซึ่งพอเข้าใจได้ว่าแม้แต่ผู้สื่อข่าวประจำกองปราบเองหากไม่เป็นรุ่นเก่าทำงานมานานก็อาจจะทราบความเป็นไปเพียงคร่าวๆ หรือไม่ทราบอะไรเลยหากไม่มีใครมาบอก แต่ถ้าย้อนหลังเก็บแง่มุมในรายละเอียดต่างๆคดีฆาตกรรมนางดาราวดี กับ ด.ช.เสรี ศรีธนะขัณฑ์ นอกจากมีความโหดเหี้ยมน่าสะพรึงกลัวเป็นความรู้สึกแรกแล้วยังมีความเศร้าสลดใจต่อเคราะห์กรรมที่เกิดขึ้นกับตระกูลศรีธนะขันธ์ เพียงแค่นายสันติ ผู้เป็นสามีและบิดาเห็นผิดเป็นชอบ เห็นความร่ำรวยแบบทันตาแต่ไม่เฉลียวว่าจะมีความเลวร้ายค่อยๆคืบคลานเข้ามาจนพรากชีวิตของลูกเมียไปอย่างไม่มีวันกลับ
ปฐมบทคดีเปื้อนเลือดและน้ำตาของบุคคลในตระกูล”ศรีธนะขันธ์”เริ่มต้นจากผลกรรมของนายเกรียงไกร เตชะโม่ง แรงงานไทยที่มีโอกาสเข้าไปทำงานในวังเจ้าชายไฟซาล บินฟาฮัต ราชวงศ์ของซาอุดิอาระเบียเมื่อประมาณ ปี 2533 และ 2 ครั้งที่นายเกรียงไกร ขออนุญาตเจ้านายกลับมาเยี่ยมเยียนบ้านเกิดก็ใช้ความไว้เนื้อเชื่อใจที่เจ้านายมีต่อเขาขโมยเครื่องเพชรเครื่องทองกลับมายังประเทศไทยคราวละมากๆจนที่สุดเมื่อเรื่องแดงขึ้นทางการซาอุฯประสานมายังทางการไทยให้ซึ่งในสมัยนั้นมีพล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ เป็นนายกรัฐมนตรี พล.ต.อ.ประมาณ อดิเรกสาร เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้มอบหมายให้พล.ต.ท.ชลอ เกิดเทศ หัวหน้าหน่วยเฉพาะกิจกระทรวงมหาดไทย ติดตามหาตัวนายเกรียงไกร
การตัดสินใจของนักการเมือง มอบหมายภารกิจสำคัญ ในครั้งนี้
ไม่มีใครคิดว่าจะส่งผลกระทบร้ายแรงต่อประเทศชาติในอนาคต เพียงเพราะทีมงานของพล.ต.ท.ชลอ เกิดเทศ ไม่ดำเนินการอย่างตรงไปตรงมา
ช่วงนั้นสามารถติดตามเครื่องเพชรกลับมาได้จำนวนมากมีการเปิดแถลงข่าวอย่างใหญ่โต ทั้งตำรวจน้อยใหญ่ นักการเมืองต่างได้หน้ากันทั่ว แต่ก็มีบางคนที่มองเห็นสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้น นั่นเป็นเพราะเกิดข่าวซุบซิบในวงการนักสืบว่ามีการยักยอกเครื่องเพชรเครื่องทองและนาฬิการาคาแพงแจกจ่ายกันในหมู่คนทำงาน หรือพวกตามล่าหาสมบัติ ส่วนระดับหัวหน้าก็เอาไปขายกับพ่อค้าเพชรสร้างความร่ำรวยกันถ้วนหน้า
อย่างไรก็ตามแม้จะมีคนกระตุกเตือนอยู่บ้างแต่กระแสมือปราบ “ชลอ เกิดเทศ”ที่ทำงานด้วยความรวดเร็ว สามารถเอาคนผิดมาลงโทษได้ทำให้ทางการซาอุฯรู้สึกยินดีถึงกับเอ่ยปากเชื้อเชิญพล.ต.ท.ชลอ เดินทางไปรับคำขอบคุณถึงประเทศซาอุดิอาระเบีย ในฐานะ “ชีคชลอ” เยี่ยงวีระบุรุษของเขา
แต่วันเวลาแห่งความสุขมีได้เพียงระยะสั้นๆ ความทั้งหลายมาแตกเมื่อดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ รมว.ต่างประเทศ ในขณะนั้นไปเยือนประเทศซาอุฯเพื่อขอโอกาสให้กับแรงงานไทยกลับไปขายแรงงานกันอีกครั้งปรากฏว่าไม่มีคำชมอีกต่อไป มีแต่คำตำหนิที่เขาพบว่าเครื่องเพชรทองที่เอาไปคืนนั้นส่วนใหญ่เป็นของเก๊หาค่าหาราคาไม่ได้ อาการหน้าแตกของนักการเมืองไทย ครั้งนั้นพอเดินทางกลับถึงประเทศไทย หายนะของพล.ต.ท.ชลอ ก็เริ่มส่อแววขึ้น
ทางการซาอุฯกดดันอย่างหนัก รัฐบาลไทยจากเคยได้หน้าสถานการณ์พลิกกลับจากหน้ามือเป็นหลังมือ
พล.ต.ท.ชลอ กับสมัครพรรคพวกตกเป็นจำเลยสังคม กระนั้นนายตำรวจมือปราบชื่อดังก็ยังคงทำหน้าที่ติดตามหาเพชรซาอุฯต่อไป และเริ่มมีข่าวทำนองว่ามีการบังคับนายสันติ หลายต่อหลายครั้งเพื่อให้คลายความลับถึงที่ซ่อนเพชรแต่ทุกครั้งจะได้คำตอบกลับมาว่าเขาได้ให้และคืนกับตำรวจไปจนหมดแล้ว
ท่ามกลางสถานการณ์ที่บีบคั้นทีมงานพล.ต.ท.ชลอ เกิดเทศ ซึ่งตกเป็นจำเลยสังคมเกี่ยวกับการอมเพชรวันที่ 1 สิงหาคม 2537 ประชาชนคนไทยก็ต้องช็อกกันทั้งประเทศเมื่อปรากฏข่าวหน้าหนังสือพิมพ์ทุกฉบับนำเสนอคดีอุบัติเหตุที่มีเงื่อนงำชวนสงสัยว่าอาจจะเป็นการฆาตกรรมนางดารวดี และ ด.ช.เสรี ศรีธนะขันธ์ และถัดมาอีกเพียงวันเดียวคือวันที่ 2 สิงหาคมหนังสือพิมพ์พากันรายงานอย่างชัดเจนว่าเป็นการฆาตกรรมที่มีตำรวจเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยโดยมีรายละเอียดพอสังเขปว่าหลังจากที่ทีมงานพล.ต.ท.ชลอ เกิดเทศ พยายามบีบให้นายสันติ บอกที่ซ่อนเพชรในทุกวิถีทางแล้วแต่ไม่มีข้อมูลใดๆสนองตอบตำรวจชุดดังกล่าวจึงใช้วิธีโจรด้วยการลักพาตัว 2 แม่ลูกขณะเดินทางไปทำธุระนอกบ้าน
ทีมตำรวจน้ำดีอันประกอบด้วยพล.ต.ต.วรรณรัตน์ คชรักษ์ ผบก.ป.ในขณะนั้นในฐานะหัวหน้าคณะทำงาน พ.ต.อ.จุมพล มั่นหมาย พ.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ รองผบก.ป. พ.ต.อ.ประมวลศักดิ์ ศรีสมบุญ ผกก.2 ป.พ.ต.ท.เมธี กุศลสร้าง รองผกก.1 ป.และพ.ต.ต.ทวี สอดส่อง สว.ผ.4 กก.2 ป.ร่วมกันคลี่คลายเริ่มจากการชันสูตรศพ 2 แม่ลุกอย่างละเอียดก็พบว่ามีร่องรอยถูกทุบด้วยของแข็งที่ศรีษะ ส่วนรอยฟกช้ำตามร่างกายแตกต่างกับอุบัติเหตุทั่วไป เพียงแต่ทีมตำรวจน้ำดีไม่ได้ประโยชน์อะไรจากการชันสูตรศพมากนักเพราะแพทย์นิติเวชฯ รพ.ตร.คือพล.ต.ต.ทัศนัย สุวรรณจูฑะ ผบก.สถาบันนิติเวช ในขณะนั้นมีความเห็นไปคนละทางโดยยืนยันว่าเป็นอุบัติเหตุ อีกทั้งมีการจำลองเหตุการณ์ถึง 2 ครั้งเพื่อแสดงให้เห็นแรงเหวี่ยงแรงกระแทกต่างๆแต่ในที่สุดด้วยพยานหลักฐานอื่นๆรวมทั้งก่อนหน้าพบศพนายสันติ ได้ร้องเรียนไปยังพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ นายกรัฐมนตรี ทีมตำรวจน้ำดีจึงเดินหน้าค้นหาความจริงต่อไป
ในที่สุดก็พบหลักฐานชิ้นสำคัญเป็นถุงพลาสติกของห้างสรรพสินค้าเล็กๆแห่งหนึ่งใส่ผ้าอนามัยของนางดารวดี ตกอยู่ในรถเมื่อตรวจสอบก็พบว่าเป็นร้านค้าตั้งอยู่ในจังหวัด จ.สระแก้ว ตำรวจทีมน้ำดีจึงจำลองเหตุการณ์ตั้งแต่สถานที่เกิดเหตุซึ่งอยู่บนถนนมิตรภาพ อ.แก่งคอย จ.สระบุรี อันเป็นรอยต่อสามารถเดินทางด้วยระยะเวลาไม่นานนัก และทีมอุ้มฆ่าในละแวกนี้เป็นใครไปไม่ได้นอกจาก "พ.ต.ท.พันธ์ศักดิ์ มงคลศิลป์"สว.สส.สภ.อ.เมืองปราจีนบุรี ลูกน้องคนสนิทพล.ต.ท.ชลอ เกิดเทศ และเมื่อตรวจเช็คการใช้โทรศัพท์ก็ปรากฏชัดว่าในห้วงเวลาเกิดเหตุมีการติดต่อระหว่างกัน อีกทั้งยังทราบถึงเซฟเฮ้าส์ที่ซ่อนตัวนางดารวดี กับด.ช.เสรี ด้วย จึงเดินทางไปตรวจสอบเก็บหลักฐานต่างๆไว้ก่อนควบคุมตัวพ.ต.ท.พันธ์ศักดิ์ มาสอบสวนและรับสารภาพซัดทอดไปทั้งขบวนการอุ้มฆ่า
แม้เหตุการณ์จะผ่านมาถึง 20 ปี จนผู้ต้องหาบางรายจบชีวิตไปแล้วส่วนพล.ต.ท.ชลอ ถูกถอดยศเปลี่ยนชื่อเป็นนายธัชพล เกิดเทศ แต่เหตุการณ์ต่างๆยังไม่อาจเลือนไปจากความทรงจำของผู้คนที่รับรู้เหตุการณ์ไปได้ บนเส้นทางมนุษย์ที่ยังคงโลดแล่นไปนั้นกรรมดีและกรรมชั่วยังคงวนเวียนเป็นวัฎจักร ผู้ต้องหาสำคัญอีกคนหนึ่งคือพ.ต.ท.พันธ์ศักดิ์ มงคลศิลป์ หลังถูกจองจำนานถึง 18 ปีเมื่อพ้นโทษออกมาแทนที่จะหลาบจำกลับเนื้อกลับตัวแต่ตกเป็นผู้ต้องหาอุ้มฆ่านายชัยชนะ หรือเสี่ยอ้วน หมายงาน อายุ 67 ปีผู้กว้างขวางแห่งตลาดโรงเกลือ ต้องกลับเข้าคุกเข้าตะรางรอการตัดสินโทษอีกครั้ง
ทุกตัวละครที่เกี่ยวเนื่องกันโดยต่างคนต่างมาพบ ต่างคนต่างหน้าที่ และต่างคนต่างอยู่คนละทิศแต่ “กรรม”เพียงอย่างเดียวที่นำพาให้มาพบ สิ่งเหล่านี้ย่อมพิสูจน์ให้เห็นหลักธรรมะของสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ว่า กมมุนา วตตตีโลโก “สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม”