จากเส้นทางชีวิตบางช่วงบางตอนของ พ.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล ว่าที่หัวหน้าสำนักงาน ผบ.ตร.ทำให้เห็นอย่างชัดเจนว่าไม่มีทางที่ตำรวจจะพ้นวังวนนักการเมืองไปได้ และยิ่งมีการ “ขยัก” ตำแหน่งเพื่อรองรับกัน โดยเฉพาะจะให้มองเป็นไรไปได้นอกเสียจากการตอบแทนผลงานในฐานะ “มือประสาน” คอยป้อง คอยบังให้กับพี่ๆ เพื่อนๆ ในอดีต
เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมามีข่าวเล็กๆ ชิ้นหนึ่ง ที่ได้รับความสนใจในสื่อกระแสหลักและสื่อออนไลน์หลายสำนักมีรายละเอียดว่า
สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มีคำสั่ง ตร.เลขที่ 542/2557 เรื่อง ให้ข้าราชการตำรวจรักษาราชการแทน เพื่อให้การปฏิบัติราชการของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ในภาพรวมเป็นไปด้วยความเรียบร้อย และมีประสิทธิภาพ อาศัยอำนาจตามความ มาตรา 70 แห่ง พ.ร.บ.ตำรวจ พ.ศ. 2547 จึงให้ พ.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบก.จว.สงขลา รักษาราชการแทนผู้บังคับการประจำสำนักงานผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในการทำหน้าที่ประสานนโยบายกับนายกรัฐมนตรี ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 9 ตุลาคม 2557 เป็นต้นไป จนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง
พ.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล เป็นใครมาจากไหน เหตุไรจึงเป็นที่สนใจของหลายสำนักข่าว สิ่งผิดปกติดังกล่าวเมื่อตรวจสอบลงไปก็พบว่าการโยกย้ายตำแหน่งนี้อาจจะเกิดปัญหาเป็นประเด็นร้อนในแวดวงสีกากีกันอีกนั่นเพราะชัดเจนการเติบโตแบบก้าวกระโดดแบบเกินเลยที่สังคมตำรวจจะรับได้ เรียกว่าเป็นการทำลายสถิติของวงการสีกากีกันทีเดียว
โดย พ.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล นรต.รุ่น 47 ปัจจุบันอายุ 42 ปี ถือเป็นนายพลตำรวจคนแรกที่มีอายุราชการน้อยที่สุดตั้งแต่มีการก่อตั้ง “สำนักงานตำรวจแห่งชาติ” คนแรกและคนเดียวที่เตรียมเลื่อนชั้นเป็นนายพล ขณะที่ นรต.รุ่น 45 และ 46 ซึ่งเป็นรุ่นพี่ยังไม่มีใครเป็นผบก.แม้แต่คนเดียว เรียกว่าข้ามหัวกันถึง 2 รุ่น เมื่อรวมรุ่นตัวเองด้วยจะแซงหน้าเพื่อนๆ พี่ๆ เกือบ 1 พันคน
นอกจากนั้นยังแหกกติกาว่าด้วยการขึ้นเป็นนายพลโดยมีระเบียบชัดเจนว่าจะต้องดำรงตำแหน่งรอง ผบก.อย่างน้อย 4 ปี ต้องผ่านโรงเรียนหลักสูตรผู้บังคับการแต่ไม่ปรากฏว่า พ.ต.อ.สุรเชษฐ์ มีคุณสมบัติครบตามนั้น ทั้งเพิ่งเป็นรอง ผบก.มา 2 ปีไม่เคยผ่านการเข้าโรงเรียนหลักสูตรผู้บังคับการ และถ้านับทวีคูณสำหรับข้าราชการตำรวจที่ลงไปปฏิบัติการ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ก็ยังคงต้องถกเถียงกันถึงรายละเอียดต่างๆ ประเด็นสุดท้ายคือการล็อกเก้าอี้ เป็นการแต่งตั้งนายพลตำรวจนอกฤดูกาล
นอกจากการอยู่เหนือกฎระเบียบที่เห็นกันจะจะเมื่อลองพลิกปูมหลังของ พ.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล ว่าที่ “นายพลตำรวจ” คนใหม่ก็ต้องจุ๊ปาก เรียกว่ามีเส้นทางชีวิตที่ไม่ธรรมดาเช่นกัน เป็นนายตำรวจที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาพอสมควรขนาดเคยฟ้องร้องผู้บัญชาระดับสูงสุดขององค์กรตัวเองมาก่อน
พ.ต.อ.สุรเชษฐ์ มีชื่อเล่นที่ติดปากเพื่อนๆ และคนคุ้นเคย 2 ชื่อคือ “โจ๊ก” กับ “โจ๊ะ” ชีวิตตอนเยาว์วัยไม่เป็นที่เปิดเผยเพียงแต่ทราบกันว่าเขาเป็นเด็กในบ้าน พล.ต.อ.เสมอ ดามาพงศ์ อดีตนายตำรวจใหญ่ที่สังคมไทยรู้จักกันดีในฐานะพ่อตา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ด.ช.โจ๊ก หรือไอ้โจ๊ะ เป็นบุตรชายของพ่อบ้าน “นายเหมอ” มีหน้าที่เสมือนเลขาฯ ใกล้ตัวทั้งขับรถ บอดี้การ์ดเรียกว่าเจอ พล.ต.อ.เสมอ ตรงไหนก็ต้องเจอโชเฟอร์คู่ใจตรงนั้น
วันเวลาผ่านไปจนถึงยุครุ่งโรจน์ของตระกูลชินวัตร เวลาใครติดขัดอะไรโดยเฉพาะแวดวงสีกากีก็มักจะใช้บริการของ ด.ช.โจ๊ก หรือไอ้โจ๊ะ แต่แปลสภาพจากวัยเด็กมาเป็นนายตำรวจเต็มภาคภูมิ
“สุรเชษฐ์ หักพาล” คอยประสานและช่วยแก้ปัญหาให้พี่ๆ น้องๆ แทบทุกรายโดยยึดคติประจำใจเพื่อให้ทุกคนที่เดินเข้ามาหาเข้าใจตรงกันว่า “ตำแหน่งเรื่องหนึ่ง ความรับผิดชอบเรื่องหนึ่ง เพื่อน-ความสัมพันธ์ก็เรื่องหนึ่ง ความรัก ความหลัง ความรู้ ความสามารถเรื่องหนึ่ง เงินเรื่องหนึ่ง นายเรื่องหนึ่ง ลูกน้องอีกเรื่องหนึ่ง เพื่อนร่วมงานก็เรื่องหนึ่ง”
นอกจากหลักความคิดที่ว่าแล้วเขายังได้ฉายาจากพวกพ้องน้องพี่ว่า “โจ๊ก หวานเจี๊ยบ” ทั้งนี้เนื่องจากเป็นคนมีมนุษยสัมพันธ์ขั้นดีเลิศ เพื่อนๆ พี่ๆ ผู้บังคับบัญชาในทุกระดับล้วนประทับใจ มักจะได้ยินได้ฟังเสมอกับคำว่า “ได้ครับพี่ ดีครับผม เหมาะสมครับท่าน คิดถึงเสมอ เป็นห่วงเสมอ มีอะไรโทรฯมายินดีรับใช้ “ออดอ้อนยิ่งกว่านักร้องลูกทุ่งขวัญใจคนจนเสียอีก
แต่อีกด้านของเหรียญ พ.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล เคยสร้างวีรกรรมจนสะท้านไปทั้งยุทธจักรปทุมวันมาแล้วโดยเมื่อรับตำแหน่งเป็น ผกก.บก.ปคม.เกิดเรื่องราวอื้อฉาวขึ้นประมาณต้นปี 2554 เมื่อนายเขตสยาม เนาว์รังสี เจ้าของสถานบริการโบว์ลิ่งเบียร์ คาราโอเกะ เข้าแจ้งความต่อ พ.ต.ท.บุญวัฒน์ นึกชัยภูมิ พนักงานสอบสวน สบ.3 ให้ดำเนินคดีต่อ พ.ต.อ.สุรเชษฐ์ กับพวกรวม 3 คนฐานข่มขู่รีดไถโดยให้การว่ามีชายหญิงคู่หนึ่งเข้ามาพบที่ร้านอ้างชื่อ พ.ต.อ.สุรเชษฐ์ ขอเก็บค่าอำนวยความสะดวกเดือนละ 1,000 บาท โดยให้โอนเข้าบัญชีผู้หญิง ต่อมามีการขอเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนถึงเดือนละ 5,000 บาทซึ่งจ่ายให้ไม่ไหวจึงถูกข่มขู่จะอุ้มไปวิสามัญฯ นายเขตสยามให้การว่า เกิดความเกรงกลัวจนต้องหนีข้ามไปฝั่งเพื่อนบ้าน แต่ในที่สุดเมื่อเห็นมีผู้ประกอบการรายอื่นๆ รวมตัวกันร้องเรียนมากถึง 130 รายผ่านไปยังศูนย์เว็บไซต์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงตัดสินใจข้ามแม่น้ำโขงแจ้งความร้องทุกข์ดังกล่าว สำนักงานตำรวจแห่งชาติจึงมีคำสั่งให้ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพัฒน์ ผบช.ก.ในฐานะผู้บังคับบัญชาโดยตรงตั้งคณะกรรมการสอบสวนและให้ย้าย พ.ต.อ.สุรเชษฐ์ กับพวกจนกว่าการสอบสวนจะเสร็จสิ้น
เป็นเหตุการณ์ฮือฮามากในตอนนั้น เพราะทราบกันดีว่า พ.ต.อ.สุรเชษฐ์ เป็นเด็กสาย “ทักษิณ” และเป็นยุคที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรีพอดีจึงมีกระแสข่าวอีกด้านหนึ่งว่าเป็นเพียงการกลั่นแกล้งของผู้มีอำนาจในขณะนั้น ต่อมาวันที่ 12 ก.ค.ปีเดียวกันอันเป็นช่วงขาลงของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ พ.ต.อ.สุรเชษฐ์ ก็ทำให้วงการสีกากีอ้าปากค้าง เมื่อตั้งทนายฟ้องกลับ พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผบ.ตร.ในขณะนั้น รวมทั้งกรรมการและผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดรวม 15 คนในข้อหาร่วมกันสนับสนุนผู้อื่นกระทำความผิดเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ และหมิ่นประมาท
ว่าไปแล้ว พ.ต.อ.สุรเชษฐ์ กับ พล.ต.อ.วิเชียร ก็ไม่ใช่อื่นไกล เพราะเมื่อคราวอดีต ผบ.ตร.ผู้นี้เป็นรอง ผบ.ตร.ก็มี “โจ๊ก หวานเจี๊ยบ” ผู้นี้เป็นผู้ช่วยนายเวรฯ ของท่านมาก่อน ต่อมาเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง พรรคเพื่อไทยสามารถจัดตั้งรัฐบาลมี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี การล้างบางนายตำรวจสายอำนาจเก่าจึงเกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็น พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี และสายอำนาจเก่าทั้งหมดอันรวมถึง นรต.รุ่น 36 ด้วย อาทิ พล.ต.ต.ชัยวัฒน์ เกตุวรชัย พล.ต.ท.จักรทิพย์ ชัยจินดา คู่หูดูโอซึ่งทราบกันดีว่านอกจากจะเป็นหัวหอกหัวกะทิของรุ่นแล้ว แล้วยังเป็นน้องรักของ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตร.ปัจจุบันพลิกสถานการณ์ โดยได้รับความไว้วางใจในตำแหน่ง ผบช.สันติบาล และรอง ผบ.ตร.ฝ่ายความมั่นคง กระชับอำนาจอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด
จากเส้นทางชีวิตบางช่วงบางตอนของ พ.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล ว่าที่หัวหน้าสำนักงาน ผบ.ตร. ทำให้เห็นอย่างชัดเจนว่าไม่มีทางที่ตำรวจจะพ้นวังวนนักการเมืองไปได้ และยิ่งมีการ “ขยัก” ตำแหน่งเพื่อรองรับกัน โดยเฉพาะจะให้มองเป็นไรไปได้นอกเสียจากการตอบแทนผลงานในฐานะ “มือประสาน” คอยป้อง คอยบังให้กับพี่ๆ เพื่อนๆ ในอดีต เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่าช่วงรัฐบาลเพื่อไทย มีอำนาจ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร คือโคตร ก.ตร.ตัวจริงจากดูไบจะเป็นคนคอยสแกนตำแหน่งสำคัญๆ ด้วยตนเองทุกครั้ง โดยเฉพาะตำแหน่งนายพลตำรวจ หาก “ทักษิณ” ไม่เอาด้วยก็อย่าหวังจะผ่านไปได้ง่ายๆ และพ.ต.อ.สุรเชษฐ์ก็อาศัยความไว้เนื้อเชื่อใจของคนในตระกูล “ชินวัตร” เป็นใบเบิกทาง ขันอาสาพาบรรดาพี่ๆ ไปปรับความเข้าใจ หรือขอความเมตตาอยู่บ่อยๆ
...นี่คือเหลี่ยมเชิง ความพลิ้วไหวของตำรวจการเมืองที่ทำได้ทุกอย่างเพื่อไม่ตกขบวนในสายอำนาจ และน่าจะเป็นคำยืนยันว่าเหตุใดตำรวจในสายเจ๊แดง สาย “ทักษิณ” บางคนจึงยังอยู่รอด และอาจจะมโนไปถึงเรื่องอื่นๆ อีกมากมายที่คอการเมืองยังรอคำตอบด้วยความเคลือบแคลงสงสัย ...จากความสัมพันธ์อันสลับซับซ้อน มีทั้งอำนาจและผลประโยชน์ต่างตอบแทนกัน ตำรวจไทยยังวนเวียนอยู่กับการเมือง ตำรวจไทยยังผูกติดกับระบบอุปถัมภ์อย่างสุดโต่ง
ไม่มีจุดยืนใดๆ ทั้งสิ้น นอกจากมุ่งไปสู่ความสำเร็จของตัว เห็นประโยชน์ส่วนตนกับพวกพ้องโดยไม่มีความละอายใดๆ
แต่ในทางตรงข้าม สังคมยังเห็นผู้นำตำรวจอ้อนวอนอยากให้ตำรวจเป็นที่รักของประชาชน อีกทั้งยังรับปากจะปลดแอกให้ความเป็นธรรมโดยหวังว่าตำรวจจะหลุดพ้นจากเงื้อมมือนักการเมือง ทั้งที่จริงปัญหาทั้งหมดก็คือสนิมเนื้อในเหล็กนั่นเอง