คอลัมน์ สังเวียนตำรวจ/เหล็กน้ำพี้
ประเทศไทยกำลังเข้าสู่ยุคปฏิรูป แต่ตำรวจไทยไม่แน่ใจว่าจะปฏิรูปกับเขาด้วยหรือเปล่า เพราะเวลา 4 เดือนแห่งการเปลี่ยนแปลง คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ทำอะไรไปหลายอย่าง เว้นสังคมสีกากีนอกจากมีคำสั่งกวดขันต่อแหล่งอบายมุข และเล่นงานตำรวจนอกรีต (ปลาซิวปลาสร้อย) บอกตรงๆ ว่ายังไม่มีอะไรเกิดขึ้น
แถมยังส่อว่าจะมาอีหรอบเดิม คือ สร้างภาพ ให้ความหวังแล้วที่สุดตำรวจก็คือเครื่องมือของผู้มีอำนาจดังเช่นทุกยุค... หมาดๆ ก็คือ ยุค “รัฐตำรวจ” โดยตำรวจของนักการเมืองมี่หน้าที่หลักคือเล่นงานฝ่ายตรงข้ามไม่ว่าจะเป็นสว่าง หรือมืด ตำรวจคือผู้ชำนาญการที่สุด เพราะนอกจากมีอาวุธ ถือกฎหมาย ตำรวจยังเป็นเจ้าพ่อเหนือโจร
นักเลง อันธพาล หรือแม้แต่โจรจึงนำมาเป็นกองกำลังผสม เฉพาะกิจบ้าง ตีหัวทนาย ข่มขู่หัวคะแนน ไปจนถึงระดมพลม็อบเกเร เรียกว่าสารพัดจะทำได้
หรือย้อนไปอีกนิดคงไม่ลืมวลีเด็ดๆ “มีวันนี้...เพราะพี่ให้” ซึ่งชัดเจนอยู่แล้วว่าผู้พูดต้องการสื่ออะไร คงทำนองว่าเมื่อพี่ให้น้องก็ต้องรับใช้อย่างเต็มที่ และใครหน้าไหนก็อย่ามายุ่งกับข้าพเจ้าเพราะข้าพเจ้ามีปลอกคอเส้นใหญ่สวมอยู่
เหตุการณ์สอดคล้องในช่วงนั้นก็คือตำรวจปล่อยปละละเลยแสวงหาประโยชน์กันอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะตู้ม้าไฟฟ้า เกลื่อนกันไปทุกซอกทุกมุม จนนายสุเทพ เทือกสุบรรณ แกนนำ กปปส.ในขณะนั้นออกประกาศกลางเวทีว่ามีนายตำรวจใหญ่คนหนึ่งใช้ลูกสมุนลากเอ็ม 79 มายิงถล่มผู้ชุมนุม
และคดีสะเทือนขวัญที่คนไทยไม่ควรลืมกันง่ายๆ คือ คดีฆาตกรรมนายเอกยุทธ อัญชันบุตร
แม้คดีนี้จะปิดลงแล้วโดยมีคนขับรถประจำตัวคนตายออกมารับสารภาพ แต่ในแวดวงอาชญากรรมทั้งตำรวจ สื่อมวลชน ญาติพี่น้อง และประชาชนที่เขาสนใจจริงๆ เชื่อตามนั้นจริงๆ หรือ คำถามต่อมาใครคือผู้บงการอยู่เบื้องหลัง คำตอบเดียวก็คือ “ตำรวจ” ส่วนจะเป็นใครเดาๆ กันไปสุดท้ายก็มาแหมะตรงนั้น
เป็นตำรวจที่มีผลประโยชน์ต่างตอบแทนกับนักการเมืองคนสำคัญ
มาถึงวันนี้ ไม่แน่ใจว่ามีใครในฝั่ง คสช.หรือรัฐบาล เคยพูดถึงการปฏิรูปตำรวจกันหรือไม่ เพราะช่วงสั้นๆ ของ พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ รักษาการ ผบ.ตร.ก่อนเกษียณอายุฯ ท่านขะมักเขม้นอยู่ 2 เรื่อง คือ เร่งรัดซื้อเครื่องบินมูลค่ากว่า 1 พันล้านบาทไป 1 ลำ กับแต่งตั้งนายตำรวจทั่วประเทศแบบล้างบางไม่เหลือฝั่งตรงข้ามแม้แต่คนเดียว
สังคมไทยจึงไม่จำเป็นต้องฝากความหวังไว้กับท่าน
แต่ขอผ่านไปยัง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และนายกรัฐมนตรี และอีกคนหนึ่งคือ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธ์ม่วง ผบ.ตร.คนใหม่
ตกลงท่านคิดเห็นต่อปัญหานี้อย่างไร ท่านจะปล่อยให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติอยู่ในสภาพนี้ตลอดไปหรือไม่ ท่านเห็นท่านรู้แต่แก้ปัญหาไม่ได้หรือไม่อยากเข้าไปยุ่ง อันนี้ก็สุดแท้แต่ทั้งสองแล้วเพราะถ้าจะทำจริงๆย่อมเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นต่อข้าราชการตำรวจเองและประชาชนอย่างแน่นอน
โดยเฉพาะข้าราชการน้ำดี ซื่อสัตย์สุจริต ขยัน อุทิศตัวเพื่อส่วนรวม ...ระบบจึงควรสร้างไว้เพื่อเป็นภูมิคุ้มกันคนดี
เหมือนดังที่ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง เคยประกาศไว้เช่นจะทำตำรวจให้เป็นที่รักของประชาชน และจะทำให้ตำรวจหลุดพ้นจากนักการเมือง
เรื่องแรกให้ตำรวจเป็นที่รักของประชาชนนั้น คงมีรายละเอียดมากมายซึ่งจะว่ากันอีกในโอกาสหน้า แต่เรื่องทำให้ตำรวจหลุดพ้นนักการเมืองนั้นแสดงว่าท่านผบ.ตร.ก็ต้องรู้ถึงพิษสงของนักการเมือง และรู้ว่าถ้ามีประโยชน์ต่างตอบแทนกันระหว่างนักการเมืองกับตำรวจย่อมเกิดอันตรายต่อสังคม และระบบนิติรัฐ นิติธรรมทั้งปวง
ท่านทราบดี...แต่ ลองย้อนเส้นทางสู่ความสำเร็จของท่าน...อันนี้ต้องขอประทานโทษจริงๆว่าตั้งแต่ติดยศ ร.ต.ท.ท่านมุ่งมั่นทำงานตามวิชาชีพหรือไปเดินตามตูดใครดังที่ถูกกล่าวหา
จนได้ยศ พ.ต.อ. ท่านถึงกลับเข้าสู่ระบบซึ่งเป็นที่รู้กันดีว่าหากใช้เส้นทางตรง เส้นทางปกติโอกาสที่จะถึงจุดสุดยอดคงไปไม่ไหวก็ต้องอาศัยการเรียนลัด เส้นทางที่จะตอบโจทก์ให้แก่ตำรวจนักวิ่งเต้นได้ก็คือเดินเข้าหาอำนาจ และไม่พ้นนักการเมือง
นโยบายทำให้ตำรวจเป็นที่รักของประชาชน มันจึงล้อวิธีคิดที่มาจากนักการเมือง และความตั้งใจจะให้ตำรวจพ้นจากเงื้อมมือนักการเมืองด้วยแล้ว ...ท่าน ผบ.สมยศ...ท่านคิดและเชื่ออย่างนั้นจริงๆ หรือ