รายงานตำรวจ
พล.อ.ประยุทธจันทร์โอชา ผบ.ทบ.และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ท่านจะตัดสินใจอย่างไร เพราะผลของการเลือกบุคคลที่จะมาดำรงตำแหน่งผบ.ตร.ครั้งนี้จะทำให้คนไทยเชื่ออย่างสนิทใจหรือไม่ว่า.....ท่านมีเจตนาคืนความสุขให้กับประเทศชาติและคนไทยจริงๆ
แวดวงสีกากีในวันนี้แม้ทั่วไปจะดูเงียบเหงาเนื่องจากอยู่ในฤดูกบจำศีลหมดสภาพเนื่องจากตกอยู่ในอาการป่วยไข้อย่างหนักขาดท่อน้ำเลี้ยง บ่อน โต๊ะบอลตู้ม้า พนันออนไลน์ ไม่รวมถึงตีไก่ กัดปลา อีกทั้งสารพัดของเถื่อน
ต้องยอมรับว่าแม้ปฏิบัติการของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือคสช.จะถูกอกถูกใจประชาชนคนไทยเป็นส่วนใหญ่แต่สำหรับบรรดาตำรวจส่วน(ไม่)น้อยกลับมีความคิดตรงข้ามบ้างก็บ่นถึงขนาดว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติน่าจะยกอำนาจหน้าที่ให้กับทหารรู้แล้วรู้รอด
บางคนใช้วิธีเข้าเกียร์ว่างไม่ตรวจ ไม่จับ อ้างว่าไม่มีงบส่วนระดับหัวหน้าหน่วยเบอร์ต้นๆอาทิสารวัตร หรือผู้กำกับหลายรายแข้งขาสั่นไม่รู้จะเจอดีวันไหนจึงทำได้แค่ประครองผ่านไปวันๆทำงานกันอย่างตามมีตามเกิดนั่นเพราะข้ออ้างข้อเดียวคือ
ขาดเม็ดเงินจากกิจการ “สีเทา”มาหล่อเลี้ยง
เป็นข้อเท็จจริงที่เจ็บปวด ว่าไปแล้วหาก คสช.ต้องการปฏิรูปตำรวจหรือวงการตำรวจจริงๆก็ควรรู้ถึงจิต-วิญาณของตำรวจไทยเป็นอันดับแรก “ตำรวจไทย”ก็มีสันดานเหมือนกับคนทั่วๆไปเหมือนกับมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งที่มีทั้งด้านดีและด้านมืดต่างกับอาชีพอื่นตรงที่ตำรวจมือหนึ่งมีปืนอีกมือถือกฏหมาย ตรงนี้จึงเป็นความเหนือกว่า
หากตำรวจคนไหนมีจิตใจด้านดีมากก็ถือเป็นความโชคดีของสังคมไป แต่ถ้ามีด้านมืดมากๆความซวยย่อมไม่พ้นประชาชนคนไทยและสังคมไทยแน่ๆ
ยิ่งในยุคที่ผ่านมาตำรวจไทยถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองอย่างชัดเจนทั้งคู่สนองต่อกันอย่างไม่ละอายต่อจริยธรรม - คุณธรรม จนระบบนิติรัฐชำรุดเสียหาย
โดยการต่างตอบแทนนั้นฝ่ายการเมืองใช้ตำรวจสร้างความแข็งแกร่งเป็นรัฐตำรวจตำรวจเก่าเกษียณไปนานแล้วก็อุตส่าห์โผล่จากหลุมมาตามรับใช้ตำรวจปัจจุบันไม่ต้องพูดถึง ให้อำนาจเมื่อไหร่ก็พร้อมสนองอย่างสุดกำลัง...
คนดีท้อแท้ หรือเลิกดีหันไปชั่วเพื่อแลกความก้าวหน้ารับใช้กันขนาดนี้ตำรวจที่ยอมเสี่ยงจึงเอาคืนด้วยการปล่อยให้อบายมุขล้นเมืองเรียกว่าเอาเงินมันทุกทาง ส่วนพวกสมุนลิ่วล้อเมื่อได้ผลประโยชน์จากธุรกิจผิดกฎหมายนอกจากส่วนที่ต้องส่งเสียเป็นรายเดือนหรือ รายตัวกับลูกพี่แล้วยังยอมตกเป็นทาสเป็นลูกมือลูกตีนออกอาละวาดกับศัตรูทางการเมืองของเจ้านาย...
จึงถือว่าในห้วง 10 ปีที่ผ่านมาสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เละเทะเน่าเหม็นสุดๆ
กว่า 1 เดือนของการยึดอำนาจ คณะ คสช.พิสูจน์ให้ประชาชนเป็นรูปธรรมากขึ้นด้วยการจัดระเบียบกับอบายมุขทั้งหมดโดยเฉพาะตู้ม้าไฟฟ้าตำรวจสนธิกำลังทหารปราบเรียบทั้งในเขตกรุงเทพมหานคร ปริมณฑลและทั้วประเทศไม่แค่ให้เลิกแต่ตามล้างตามเช็ดกันถึงโกดัง ทำแบบไม่เคยมีใครหน้าไหนกล้าทำ จนเป็นที่กล่าวขวัญถูกอกถูกใจของชาวบ้านเป็นอย่างยิ่ง....
ทหารได้ความนิยม ได้คะแนนเต็ม ส่วนตำรวจสังคมก็ยังคงเคลือบแคลงใจเกิดคำถามที่ตอบได้ยาก ว่าแล้วทำไมก่อนหน้าจึงมีกันมากมายเหลือเกินตำรวจท้องที่ส่วนใหญ่น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องอยู่ด้วย ท้องที่ไหนตรวจเจอมากๆก็ท้องที่นั้นแหละที่มันกินกันมาก...ประเด็นนี้ชาวบ้านยังรู้ทันหวังว่าทหารก็สมควรจะรู้ทันตำรวจไทย(แสบๆ)บางคนด้วย
มาวิเคราะห์แบบเจาะลึกศึกชิงเก้าอี้ ผบ.ตร.กันบ้าง
สื่อหลายค่ายยกให้มีตัวเต็ง 4-5 คนแต่สำหรับ “ผู้จัดการออนไลน์”เผื่อเหลือเผื่อขาดไว้แค่2 คือพล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ รองผบ.ตร.ฝ่ายปราบปราม อาวุโสอันดับ 1 เหลืออายุราชการ 2 ปี คนที่สองคือพล.ต.อ.สมยศพุ่มพันธ์ม่วง รองผบ.ตร.ฝ่ายความมั่นคง เหลืออายุราชการ 1 ปี...
เริ่มจากประวัติย่อๆของพล.ต.อ.เอกจบการศึกษากฎหมายจากมหาวิทยาลัยรามคำแหง แล้วต่อปริญญาโทที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเข้ารับการอบรมเป็นนายตำรวจ( นบ.รบ.) รุ่น 7 ตอนรับราชการเป็นผู้หมวดทำหน้าที่รองสวส.สภ.อ.เมืองสงขลา เกิดเหตุการณ์คนร้ายจับตัวผู้พิพากษาหญิง เป็นตัวประกัน “หมวดเอก”แสดงวีรกรรมบุกเข้าช่วยโดยกำบังตัวผู้พิพากษาและยิงต่อสู้สามารถช่วยเหลือเหยื่อได้ จนได้รับการกล่าวขานจากบุคคลในแวดวงยุติธรรมในเวลานั้นว่าเป็นวีระบุรุษของพวกเขา
ทั้งที่จริง งานถนัดคือด้านกฎหมายซึ่งมีความแม่นยำชนิดหาตัวจับยากเคยสอบผู้พิพากษาได้แต่ด้วยความรักตำรวจจึงสละได้ปรับยศชั้นเป็น พ.ต.อ. ระหว่างรับราชการจนมาถึงตำแหน่งปัจจุบันเป็นนายตำรวจที่ไม่มีขั้วการเมืองชัดเจนขณะเดียวกันไม่เคยมีประวัติด่างพร้อย
ว่ากันว่ายุค “ดูไบ”ขึ้นสมอง รองผบ.ตร.ผู้นี้ไม่เคยไปหา ไม่เคยไปคุยอาศัยหลบๆหลีกๆ “อยู่ให้เป็น”ในยามที่ไร้แรงหนุน ไร้เกราะกำบังผลงานที่เข้าตามากที่สุดในขณะนี้คือการตามล้างตามเช็ดขบวนการตู้ม้าและออกมาระบุอย่างชัดเจนว่ามีตำรวจเข้าไปเกี่ยวข้องกับขบวนการป่วนเมืองในเหตุการณ์ชุมนุมของมวลมหาประชาชนจนมีผู้บาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก
เรียกว่าเป็นไพ่ใบสุดท้ายที่ทิ้งให้คสช. อีกทั้งกลุ่มกปปส.ที่เชื่อกันว่ามีสายสัมพันธ์ที่ดีกับทหารมีโอกาสนำไปเทียบฟอร์มกับคู่แข่งเพื่อเป็นการชี้ชะตา
ส่วนพล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธ์ม่วง นายตำรวจคนดังมาแรงชนิดดึงไม่หยุด ฉุดไม่อยู่เพราะมากไปด้วยคอนเน็กชันแน่หนากว่าใครทั้งหมดประวัติของนายตำรวจผู้นี้ทราบกันดีว่า เป็นตำรวจติดตามนายมนตรี พงษ์พาณิชย์ นักการเมืองคนดังเจ้า
ตำนาน“โฮปเวลย์”ที่ยังหลอกหลอนคนไทยมาถึงทุกวันนี้
พล.ต.อ.สมยศ จบเตรียมทหารรุ่น 15 และนักเรียนนายร้อยรุ่น 31ตำรวจเพื่อนๆคนเด่นได้แก่พล.ต.ต.โกวิทย์ วงศ์รุ่งโรจน์ พล.ต.ต.ฉันทวิทย์ รามสูตร พ.ต.ท.สีหนาท ประยูรรัตน์เลขาธิการ ปปง.พล.ต.ต.ประยนต์ ลาเสือ พล.ต.ต.พินิต มณีรัตน์ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ฉายาพันธ์ พ.ต.อ.ประสพโชค พร้อมมูล พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ พล.ต.อ.เรืองศักดิ์จริตเอก พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน เป็นต้น
ชื่อของพล.ต.อ.สมยศ เป็นที่รู้จักต่อสาธารณะชนมากขึ้นเมื่อครั้งเป็นผู้ช่วยผบ.ตร.หลังเหตุการณ์พันธมิตรล้มระบอบ “ทักษิณ”เพียง 2 ปีโดยในขณะนั้นพล.ต.อ.พัชรวาท วงศ์สุวรรณ ทำหน้าที่เป็นผบ.ตร.ขณะที่ฝ่ายทหารมีพล.อ.ประวิทย์ วงศ์สุวรรณพี่ชายเป็น รมว.กลาโหม พล.อ.อนุพงศ์ เผ่าจินดา เป็นผบ.ทบ.ทั้งสามมีฉายาจากพันธมิตรว่าเป็นแก๊ง“3 ป.”เนื่องจากเป็นฝ่ายจัดตั้งรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะจึงมักจะมีอิทธิพลต่างๆครอบงำรัฐบาลในขณะนั้นจนไม่เป็นตัวของตัวเอง
และด้วยอีกขั้วการเมืองหนึ่งจากกลุ่ม “บุรีรัมย์”ที่แปรพักตร์มาจาก“นายเก่า”แม้นายเนวิน ชิดชอบ จะถูกเว้นวรรคทางการเมืองนาน 5ปีแต่ก็มีบารมีมากพอที่จะดึง สส.ในมือมาจัดตั้งรัฐบาล“อภิสิทธิ์”ในค่ายทหาร..เหล่านี้จึงกลายเป็นการสอดรับผลประโยชน์ทางอำนาจและเป็นที่มาของนายตำรวจชื่อ “สมยศ พุ่มพันธ์ม่วง”คนที่เดินถือกระเป๋านายมนตรีนักการเมืองคนดัง วนๆเวียนๆอยู่ในสภาฯกว่า 20 ปีซึ่งเป็นเพื่อนคนสนิท คนที่“เนวิน”ไว้ใจ
...ผลงานที่กลุ่มพันธมิตรฯถือว่าอัปยศคือคำสั่งทิ้งทวน เมื่อวันที่ 10กันยานยน พ.ศ.2551 ก่อนพล.ต.อ.พัชรวาทเกษียณอายุราชการไม่กี่วันได้ลงนามแต่งตั้งนายตำรวจคุมคดีพันธมิตรบุกยึดสนามบินสุวรรณภูมิจากพล.ต.ท.วุฒิ พัวเวส ผู้ช่วยผบ.ตร.มาเป็นพล.ต.ท.สมยศ พุ่มพันธ์ม่วง มีการแจ้งข้อหาก่อการร้ายและบุกรุกสถานที่ราชการต่อพันธมิตรรวม79 คน
วันเวลาผ่านไปแม้รัฐบาลประชาธิปัตย์ และพรรคภูมิใจไทยที่มีเงานายเนวิน ยืนเป็นฉากอยู่เบื้องหลังจะหลุดจากอำนาจมาถึงยุดรัฐบาล “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร”อันเป็นรัฐบาลที่มาจากการค้ำจุนของคนเสื้อแดงหรือที่เรียกกันในอีกด้านหนึ่งว่าเป็นรัฐบาลระบอบ “ทักษิณ”แต่ชื่อของ “สมยศพุ่มพันธ์ม่วง”ก็ยังคงติดกลุ่มคณะทำงานของพล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงษ์ผบ.ตร.ในยุคเปลี่ยนผ่าน...
จาก “เพรียวพันธ์”มาถึงพล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงห์แก้วและวันนี้ท่ามกลางผู้สนับสนุนอย่างมากหน้าหลายตา บรรดานักวิเคราะห์จึงเทคะแนนแบบ“แบเบอร์”ให้พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธ์ม่วง จะต้องกว้างขึ้นสู่ตำแหน่งหมายเลข 1ของวงการสีกากีอย่างแน่นอน...
เท่านั้นยังไม่พอนอกจากแรงหนุนอย่างสุดๆจากเพื่อนๆ จากพี่ๆพล.ต.อ.สมยศ ยังมีสายสัมพันธ์ อันดีกับพล.ท.ไพบูลย์ คุ้มฉายาผู้ช่วยผบ.ทบ.ทำหน้าที่หัวหน้าฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม คสช. ในฐานะเพื่อนเตรียมทหารรุ่น 15เมื่อเห็นแรงหนุนเนืองขนาดนี้จึงไม่ประหลาดใจที่สื่อทุกสำนักรวมทั้งบรรดากองเชียร์จะยกมือเต็งจ๋าให้
อย่างไรก็ตาม ข้อเรียกร้องให้ปฏิรูปตำรวจ จากกลุ่มมวลมหาประชาชน หรือ กปปส.ที่มีบทบาทอย่างยิ่งในการเปลี่ยนแปลงอำนาจและน่าจะเป็นความต้องการของคนไทยเกือบทั้งประเทศที่ได้ลิ้มรสในระบบตำรวจแบบเก่าๆมาอย่างช้านานเฉกเช่นนกกระสาตัวใหม่ที่ผลัดกันโฉบมากินเหยื่อ เรามีบทเรียนมาแล้วกับตำรวจประเภท “มีวันนี้เพราะพี่ให้”เราคงไม่อยากเจ็บปวดต่อไปด้วยวลีใดๆอีกก็ตาม
ความหวังเดียวคือความกล้าหาญของผู้กุมชะตาของประเทศ เขาผู้นั้นก็คือพล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา ผบ.ทบ.และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ท่านจะตัดสินใจอย่างไร
เพราะผลของการเลือกบุคคลที่จะมาดำรงตำแหน่งผบ.ตร.ครั้งนี้จะทำให้คนไทยเชื่ออย่างสนิทใจหรือไม่ว่า.....ท่านมีเจตนาคืนความสุขให้กับประเทศชาติและคนไทยจริงๆ