กลุ่มผู้เช่าพื้นที่จำหน่ายสินค้าโครงการ “อินสแควร์ ชอปปิ้งมอลล์” ใกล้ตลาดนัดสวนจตุจักร ร้องถูกเจ้าของโครงการโกงเงินสัญญาเช่า แต่เวลาผ่านมาแล้วกว่า 3 ปียังไม่สามารถเปิดพื้นที่ให้ผู้เสียหายเข้าไปค้าขายได้ มูลค่าความเสียหายกว่า 100 ล้าน
วันนี้ (2 ก.ย.) ที่กองปราบปราม เมื่อเวลา 13.30 น. นายสงกานต์ อัจฉริยะทรัพย์ ประธานเครือข่ายต่อต้านการบ่อนทำลายชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ได้พา นางพิมทิพา มาลากุล อายุ 40 ปี และกลุ่มผู้เสียหายกว่า 35 รายเดินทางเข้าพบ พ.ต.อ.ประสพโชค พร้อมมูล รอง ผบก.ป.เพื่อร้องทุกข์ขอให้ตรวจสอบการดำเนินการโครงการอินสแควร์ ชอปปิ้งมอลล์ ศูนย์การค้าขนาดใหญ่บริเวณใกล้ตลาดนัดสวนจตุจักร กทม. ภายหลังผู้เสียหายได้ทำสัญญาเช่าห้องจำหน่ายสินค้าแต่กลับไม่ได้เข้าใช้ประโยชน์ตามที่ได้ทำสัญญาไว้ รวมมูลค่าเสียหายกว่า 100 ล้านบาท โดยทำหนังสือร้องทุกข์ และนำโบรชัวร์โครงการดังกล่าวรวมทั้งเอกสารต่างๆ ที่เกี่ยวข้องมามอบไว้เป็นหลักฐาน
นางพิมทิพากล่าวว่า ก่อนหน้านี้ได้พบโฆษณาโครงการดังกล่าวจึงสนใจที่จะเช่าพื้นที่เพื่อจำหน่ายเสื้อผ้าแฟชั่น หลังจากติดต่อกับทางโครงการแล้วทราบว่าจะเปิดทำการในปี 2554 ส่วนสัญญาเช่าจะเป็นการเช่าในระยะยาว กำหนดเวลา 25 ปี โดยห้องขนาด 7.5 ตารางเมตร มีราคา 3.1 ล้านบาท ตนจึงได้ทำสัญญาเช่าไว้ 2 ห้อง รวมมูลค่ากว่า 6 ล้านบาท ชำระค่าเช่าไปแล้ว เมื่อถึงปี 2554 ตนจึงได้ติดต่อสอบถามกับทางโครงการว่าจะมีกำหนดเปิดทำการเมื่อใด แต่ก็ได้รับการกล่าวอ้างว่าจะต้องรอให้มีการโอนเงินให้ครบทุกสัญญาเช่าเสียก่อน นอกจากนี้ยังต้องรอให้มีการตกแต่งภายในให้เสร็จสมบูรณ์ แต่ตนเห็นว่าเวลาได้ล่วงเลยมานานจึงพยายามไปสอบถามแต่ก็ถูกอ้างว่าติดปัญหาต่างๆ
นางพิมทิพากล่าวต่อว่า หลังจากได้ทวงถามทางโครงการหลายครั้ง ต่อมาตนจึงทราบว่าได้มีการเปลี่ยนตัวกรรมการผู้ลงนามผูกพันกับนิติบุคคลโครงการนี้ถึง 4 ครั้ง และมีผู้ที่ทำสัญญาเช่าพื้นที่เพื่อจำหน่ายสินค้าเช่นเดียวกับตนก็ไม่สามารถเข้าไปใช้ประโยชน์ได้อีกนับ 100 ราย โดยบางรายได้ทำสัญญาเช่าเป็นมูลค่าสูงถึง 18 ล้านบาท จึงอยากทราบว่าทางโครงการติดขัดปัญหาใดกันแน่จึงมีการผัดผ่อน เพิกเฉยเมื่อผู้เสียหายได้ทวงถาม จึงรวมตัวกันเข้าร้องเรียนกับทางคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ก่อนจะมีการส่งเรื่องไปให้สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ตรวจสอบและดำเนินการ แต่เรื่องกลับเงียบหายไม่มีความคืบหน้าใดๆ จึงเข้าร้องทุกข์ขอความเป็นธรรมเพื่อให้ทางโครงการดังกล่าวได้เยียวยา โดยส่งตัวแทนผู้มีอำนาจในนามนิติบุคคลมาเจรจาเพื่อหาข้อยุติ คืนเงินแก่ผู้เสียหายหรือจะเร่งเปิดพื้นที่ให้ผู้เสียหายที่ทำสัญญาเช่าได้เข้าไปใช้ประโยชน์ก็ได้ ไม่ใช่เพิกเฉยแบบนี้ เนื่องจากผู้เสียหายบางคนก็ต้องไปกู้หนี้ยืมสินมาในการทำสัญญาเช่าและต้องแบกรับดอกเบี้ยเงินกู้ทุกวัน
ด้าน พ.ต.อ.ประสพโชคกล่าวว่า ในเบื้องต้นได้มอบหมายให้พนักงานสอบสวน กก.1 บก.ป.รับเรื่องโดยลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐาน และสอบปากคำผู้เสียหายไว้ ก่อนจะพิจารณาเชิญผู้แทนของโครงการดังกล่าว หรือผู้ที่เกี่ยวข้องมาสอบถามข้อเท็จจริง หากเป็นกรณีที่สามารถตกลงกันได้พนักงานสอบสวนก็จะเป็นคนกลางในการไกล่เกลี่ยเพื่อไม่ต้องดำเนินคดีอาญา