ตร.กองปราบฯ แจ้ง 4 ข้อหาฉกรรจ์ ปธ.สภา กทม. ฐานอั้งยี่ เรียกรับผลประโยชน์ ข่มขู่และกรรโชกทรัพย์ ผู้ค้าแผงวัดหัวลำโพง แต่ผู้ต้องหายังคงการให้การปฏิเสธ พร้อมนำตัวไปขออำนาจศาลฝากขังต่อไป
วันนี้ (19 ส.ค.) ที่กองปราบปราม เมื่อเวลา 11.40 น. พ.ท.บุรินทร์ ทองประไพ นายทหารพระธรรมนูญ พล.ม.2 รอ.พร้อมด้วย พ.ต.อ.ประสพโชค พร้อมมูล รอง ผบก.ป.ได้เบิกตัว นายพิพัฒน์ ลาภปรารถนา ประธานสภากรุงเทพมหานคร และสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร (ส.ก.) เขตบางรัก หลังจากถูกกลุ่มผู้ค้าที่บริเวณหน้าวัดหัวลำโพง แขวงสี่พระยา เขตบางรัก กล่าวหาว่าร่วมกับนายประเสริฐ พรมมิ เลขานุการมูลนิธิประชาอุปถัมภ์บางรัก เรียกเก็บค่าคุ้มครอง จากห้องขังกองปราบปรามเพื่อส่งมอบให้พนักงานสอบสวนกองปราบปรามดำเนินคดี
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า วันนี้นายพิพัฒน์สวมเสื้อเชิ้ตสีขาว มีเสื้อสูทสีเทาคลุม โดยมีสีหน้าเรียบเฉยไม่ได้แสดงอาการเครียดหรือวิตกกังวลใดๆ ก่อนจะถูกพาไปยังห้องพนักงานสอบสวน กก.1 บก.ป.ซึ่งทาง พ.ต.อ.ประสพโชคได้มอบหมายให้ พ.ต.ท.นทธีฤทธิ์ หาญเสน่ห์ลักษณ์ พนักงานสอบสวนผู้ชำนาญการพิเศษ กก.1 บก.ป.แจ้งข้อกล่าวหา โดยมีนายเธียรชัย ลาภปรารถนา ทนายความ พี่ชายของนายพิพัฒน์ร่วมรับฟังการสอบสวนด้วย
สำหรับข้อหาที่พนักงานสอบสวนแจ้งดำเนินคดีต่อนายพิพัฒน์ ประกอบด้วย 1. ผู้ใดเป็นสมาชิกของคณะบุคคลปกปิดวิธีการที่มีความมุ่งหมายเพื่อการอันมิชอบด้วยกฎหมาย โดยผู้กระทำผิดเป็นหัวหน้า ผู้จัดการ หรือผู้มีตำแหน่งหน้าที่ในคณะบุคคล กระทำผิดฐานเป็นหัวหน้าอั้งยี่ 2. ผู้ใดเรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตน หรือผู้อื่นในการจูงใจให้เจ้าพนักงานโดยวิธีอันทุจริตหรือผิดกฎหมาย ให้กระทำการหรือไม่กระทำการในหน้าที่อันเป็นคุณหรือโทษแก่บุคคลใด
3. ข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการหรือไม่กระทำการใด โดยกลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียง หรือทรัพย์สินของผู้ถูกข่มขืนใจ หรือโดยใช้กำลังประทุษร้าย และ 4. ข่มขืนใจผู้อื่นยอมให้ทรัพย์สินโดยใช้กำลังประทุษร้าย หรือขู่เข็ญว่าจะทำอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียงหรือทรัพย์สิน กระทำผิดฐานกรรโชกทรัพย์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 209, 143, 309 และ 337 ตามลำดับ
สอบสวนเบื้องต้น นายพิพัฒน์ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา โดยอ้างว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกรณีที่เกิดขึ้นทั้งหมด และยังคงยืนยันว่ารู้จักกับนายประเสริฐจริง แต่ไม่เคยเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องการเรียกเก็บเงินค่าคุ้มครองจากกลุ่มผู้ค้าที่หน้าวัดหัวลำโพงแต่อย่างใด ตนเป็น ส.ก.เขตบางรักมา 4 สมัย รวมเวลา 16 ปี หากกระทำแบบนั้นประชาชนคงไม่เลือกเข้ามาให้ทำงานรับใช้ ลองไปสอบถามชาวบ้านที่นั่นดูได้
ผู้สื่อถามถึงกรณีนายประเสริฐที่ถูกแจ้งข้อกล่าวหาไปก่อนหน้านี้ว่ารู้จักสนิทสนมกันมากแค่ไหน นายพิพัฒน์กล่าวว่า ตนเป็น ส.ก.ทุกคนก็รู้จักดีอยู่แล้ว เรื่องเรียกรับเงินค่าคุ้มครองนั้นตนไม่รู้เรื่อง แต่หากเป็นเรื่องของมูลนิธิประชาอุปถัมภ์บางรักนั้นพอทราบ เพราะนายประเสริฐเคยมาหยิบยืมเงินตนไปทำมูลนิธิดังกล่าว และก็เป็นเรื่องที่ดีซึ่งตนให้การสนับสนุน เพราะจัดตั้งขึ้นมาเพื่อการกุศล เงินรายได้จากการบริจาคก็ควรจะนำไปช่วยเหลือสังคม ทั้งซื้อเครื่องมือแพทย์ให้กับโรงพยาบาล ใช้เป็นทุนการศึกษาเด็ก และช่วยเหลือเมื่อเกิดภัยต่างๆ ตนก็ให้ข้อคิดและคำแนะนำไปเท่านั้น
ผู้สื่อข่าวถามเกี่ยวกับข้อมูลเรื่องการเรียกเก็บค่าคุ้มครองกันในพื้นที่เขตบางรัก นายพิพัฒน์กล่าวว่า ไม่เคยทราบเรื่องเลยเพราะไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยว มีแต่ลงพื้นที่ไปเยี่ยมเยียนพี่น้องประชาชนเท่านั้น เมื่อถามอีกว่าเคยประสานกับทางสำนักงานเขตบางรัก เกี่ยวกับการจัดการปัญหาเรื่องการเก็บค่าคุ้มครองบ้างหรือไม่ นายพิพัฒน์ตอบว่า ไม่เคยได้สอบถาม ตรงนี้ก็เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ที่จะต้องดำเนินการอยู่แล้ว
“เรื่องนี้ไปถามชาวบ้านในพื้นที่เขตบางรักได้ทุกซอยว่าผมเป็นคนอย่างไร ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่เลือกมาเป็นผู้แทนหรอก ผมเป็น ส.ก.มา 16 ปีแล้ว ไปถามได้ แล้วพฤติกรรมแบบนี้ใครจะกล้าไปทำ อีกทั้งผมยังเป็นนายกสมาคมบาสเกตบอลแห่งประเทศไทยด้วย ซึ่งก็มาจากการเลือกตั้ง นอกจากนี้ก็ได้รับพิจารณาให้เป็นรองประธานสหพันธ์บาสเกตบอลในระดับอาเซียน หากมีพฤติกรรมแบบนี้ใครเขาจะเลือก ทุกคนที่รู้จักผมจะทราบดี วันๆ ก็ต้องทำงานในฐานะ ส.ก.และตำแหน่งในสมาคมต่างๆ ก็แทบจะหมดเวลาแล้ว ที่ผ่านมาผมออกไปเยี่ยมชาวบ้านทุกวันเพื่อรับฟังปัญหาเอาไปแก้ไข และแต่ละวันก็แทบจะไม่มีเวลาแล้ว ผมก็ไม่ทราบว่ามีเรื่องร้องเรียนแบบนี้มาถึงผมได้อย่างไร แต่ยืนยันได้เลยว่าไม่เคยเข้าไปเกี่ยวข้อง ผมมีแต่คอยให้ความช่วยเหลือคนอื่น ใครมาขอร้องอะไรที่ผมทำให้ได้ก็ช่วยไปทุกคน ขนาดเจ็บป่วยมาขอเงินไปรักษา ผมก็ยังให้เลย แต่เมื่อมาถูกกล่าวหาเช่นนี้แล้วก็ไม่เป็นไร เพราะผมก็พร้อมที่จะต่อสู้คดีในชั้นศาลต่อไป” นายพิพัฒน์กล่าว
ด้าน พ.ต.อ.ประสพโชคกล่าวว่า เมื่อมีการกล่าวหาและทางพนักงานสอบสวนได้รวบรวมพยานหลักฐานต่างๆ ไว้พอสมควรแล้วจึงพิจารณาแจ้งข้อกล่าวหาเพื่อดำเนินคดีต่อนายพิพัฒน์ โดยทางผู้ถูกกล่าวหาจะให้การเช่นไรก็เป็นสิทธิ และเมื่อสอบสวน พิมพ์ลายนิ้วมือทำประวัติเสร็จสิ้นแล้วก็จะคุมตัวไปขออำนาจศาลอาญากรุงเทพใต้ ฝากขังในช่วงบ่ายวันเดียวกัน พร้อมกับนายประเสริฐ ที่พนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อกล่าวหาไปแล้วก่อนหน้านี้ ส่วนการพิจารณาเรื่องการประกันตัวคงขึ้นอยู่ที่ดุลพินิจของศาล
ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ ถ.เจริญกรุง พนักงานสอบสวนกองปราบปราม ได้ควบคุมตัว นายพิพัฒน์ ลาภปรารถนา ประธานสภากรุงเทพมหานคร และสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร (สก.) เขตบางรัก และนายประเสริฐ พรมมิ เลขานุการมูลนิธิประชาอุปถัมภ์บางรัก ผู้ต้องหาในข้อหาร่วมกันเป็นอั้งยี่และข้อหาอื่นๆรวม 4 ข้อหา ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 143 , 209 วรรค1 และวรรค2 , 309 และ 337 จากกรณีเรียกเก็บค่าคุ้มครองจากกลุ่มผู้ค้าที่บริเวณหน้าวัดหัวลำโพง มาขออำนาจศาลฝากขังครั้งแรก เป็นเวลา 12 วัน ระหว่างวันที่ 19 – 30 ส.ค. 2557 เนื่องจากการสอบสวนยังไม่เสร็จสิ้น ต้องรอสอบปากคำพยานอีกหลายปาก และรอผลพิมพ์ลายนิ้วมือทำประวัติ โดยศาลพิจารณาคำร้องและสอบถามผู้ต้องหาแล้วไม่คัดค้านจึงอนุญาตให้ฝากขังได้
ขณะเดียวกันนายเธียรชัย ลาภปรารถนา ทนายความ ซึ่งเป็นพี่ชายของนายพิพัฒน์ ได้ยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราว โดยใช้หลักทรัพย์เป็นเงินสด 300,000 บาท
ศาลพิเคราะห์แล้วอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวได้ โดยตีราคาประกัน 3 แสนบบาท