xs
xsm
sm
md
lg

แจ้ง 4 ข้อหา"อั้งยี่- รีดส่วย" ปธ.สภา กทม.รีดส่วยแผงค้าวัดหัวลำโพง

เผยแพร่:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม

นายพิพัฒน์ ลาภปรารถนา ประธานสภากรุงเทพมหานคร และสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร (สก.) เขตบางรัก
ตร.แจ้ง 4ข้อหาฉกรรจ์ ปธ.สภา กทม. รีดส่วยแผงค้าวัดหัวลำโพง พร้อมนำตัวขออำนาจศาลฝากขังพรุ่งนี้ พบพิรุธจัดตั้งมูลนิธิประชาอุปถัมภ์บางรักเถื่อน รับบริจาคเงินโดยไม่นำไปใช้ตรงตามวัตถุประสงค์ ยอดเงินในบัญชี 4 แสนถูกถอนเหลือเพียงพันบาท

วันนี้ (18 ส.ค.) ที่กองปราบปราม ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้ากรณีที่ พ.ท.บุรินทร์ ทองประไพ นายทหารพระธรรมนูญ พล.ม.2 รอ.พร้อมด้วยสารวัตรทหาร เชิญตัวนายพิพัฒน์ ลาภปรารถนา ประธานสภากรุงเทพมหานคร และสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร (สก.) เขตบางรัก และนายประเสริฐ พรมมิ เลขานุการมูลนิธิประชาอุปถัมภ์บางรัก ส่งมอบให้ พ.ต.อ.ประสพโชค พร้อมมูล รอง ผบก.ป. พ.ต.ท.นทธีฤทธิ์ หาญเสน่ห์ลักษณ์ พนักงานสอบสวนผู้ชำนาญการพิเศษ กก.1 บก.ป.หลังจากถูกกล่าวหาว่าเรียกรับเงินค่าคุ้มครองจากผู้ค้าบริเวณหน้าวัดหัวลำโพง แขวงสี่พระยา เขตบางรัก โดยอาศัยอำนาจตาม พ.ร.บ.กฎอัยการศึก ว่าขณะนี้ทั้งสองยังคงถูกกักตัวไว้ที่ห้องขัง บก.ป.

อย่างไรก็ตาม ในส่วนของนายประเสริฐจะครบกำหนดเวลาในการกักตัว 7 วัน ในวันที่ 19 สิงหาคมนี้ ขณะที่นายพิพัฒน์จะครบตามกำหนดในวันที่ 20 สิงหาคม แต่ทางพนักงานสอบสวน บก.ป.ได้รับการประสานจากทางทหารว่าจะพิจารณาทำหนังสือร้องทุกข์เพื่อแจ้งข้อกล่าวหากับบุคคลทั้งสองพร้อมกันในวันที่ 19 สิงหาคมนี้ ก่อนจะคุมตัวไปขออำนาจศาลอาญากรุงเทพใต้ฝากขังในวันเดียวกัน ส่วนการประกันตัวก็ให้ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของศาลต่อไป

พ.ต.ท.นทธีฤทธิ์เปิดเผยว่า สำหรับกรณีของนายประเสริฐนั้นยังตรวจสอบพบความไม่ชอบมาพากลในการจัดตั้งและบริหารมูลนิธิประชาอุปถัมภ์บางรักอีกด้วย เนื่องจากตามประกาศจดทะเบียนตั้งมูลนิธิดังกล่าว มีนายสมพร ชูศรี อายุ 40 ปี เป็นประธานมูลนิธิ โดยมีกรรมการของมูลนิธิทั้งสิ้น 10 คน หนึ่งในนั้นคือนายประเสริฐ ที่มีตำแหน่งเป็นกรรมการและเลขานุการ ที่ผ่านมาพบว่ามูลนิธิแห่งนี้มีการเปิดรับเงินบริจาคจากประชาชนทั่วไป โดยไม่มีการจัดทำระบบบัญชีหรือชี้แจงยอดเงินรับบริจาคแต่ละวันหรือแต่ละเดือนอย่างถูกต้อง มีเพียงสมุดจดยอดรายรับ-รายจ่ายไว้เท่านั้น รวมทั้งสมุดบัญชีธนาคารกสิกรไทย สาขาจามจุรีสแควร์ ที่ใช้ฝาก-ถอนเงิน กลับเป็นชื่อของนายสมพร กับนายประเสริฐ เพียงสองคน ไม่ได้ใช้ชื่อบัญชีในนามของมูลนิธิดังกล่าว มียอดเงินคงเหลือจากกว่า 4 แสนบาท เหลือเพียง 1,000 กว่าบาทเท่านั้น

พ.ต.ท.นทธีฤทธิ์เปิดเผยอีกว่า หลังจากได้ตรวจสอบใบเสร็จรับเงินของทางมูลนิธิ พบว่าเล่มล่าสุด คือเล่มที่ 36 มีจำนวน 100 ใบ ถูกใช้ไป 11 ใบ มียอดเงินรับบริจาครวม 36,700 บาท ไม่ตรงกับยอดที่จดไว้ในสมุดบันทึก ซึ่งแจกแจงเป็นรายรับ-รายจ่ายต่างๆ ยังไม่นับรวมกับที่คาดการณ์ว่าใบเสร็จที่ใช้ไปแล้วก่อนหน้านี้อีก 35 เล่ม จะมียอดเงินบริจาคมากน้อยเพียงใด และเงินในส่วนดังกล่าวถูกนำไปใช้จ่ายตรงตามวัตถุประสงค์ของมูลนิธิหรือไม่ หรือมีใครเป็นผู้ถือเอาไว้ ซึ่งตามแนวทางการสืบสวนสอบสวนเจ้าหน้าที่พบว่านายประเสริฐได้นำเงินที่ได้มาจากการบริจาคบางส่วนไปมอบให้กับเลขานุการของนายพิพัฒน์ด้วย เพื่อเป็นการใช้คืนที่ได้หยิบยืมเงินมาก่อสร้างมูลนิธิฯ ก่อนหน้านั้น โดยจะหักเงินไว้ทุกเดือนไปส่งมอบ อย่างไรก็ดี ทางเลขานุการของนายพิพัฒน์ยังคงให้การปฏิเสธว่าไม่ได้รับทราบกรณีดังกล่าวแต่อย่างใด

พ.ต.ท.นทธีฤทธิ์กล่าวด้วยว่า นอกจากนี้ยังต้องตรวจสอบต่อไปในเรื่องของสถานที่ตั้งมูลนิธิ พบว่าอยู่บนพื้นที่สาธารณะบริเวณแยกสามย่าน ระหว่างถนนสี่พระยา กับถนนพระราม 4 โดยไม่พบข้อมูลหรือหลักฐานว่าได้ขออนุญาตจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้วหรือไม่ แต่ในประเด็นนี้ทางกรุงเทพมหานครในฐานะองค์กรปกครองท้องถิ่นจะต้องเป็นผู้ร้องทุกข์กล่าวโทษ ทางพนักงานสอบสวนจะได้ประสานข้อมูลเพื่อตรวจสอบต่อไป

ทั้งนี้ สำหรับมูลนิธิแห่งนี้ ตามประกาศนายทะเบียนมูลนิธิกรุงเทพมหานคร พบว่ามีวัตถุประสงค์ ประกอบด้วย 1. เพื่อช่วยเหลือนักเรียนในสถานศึกษา หรือชุมชนในพื้นที่เขตบางรัก ซึ่งมีความประพฤติดีแต่ขาดแคลนทุนทรัพย์ให้ได้ศึกษาต่อในระดับชั้นที่สูงขึ้น หรือตามที่คณะกรรมการเห็นสมควร 2. เพื่อส่งเสริมสนับสนุนการจัดหาวัสดุอุปกรณ์ทางการศึกษาให้นักเรียนผู้ยากไร้ ตลอดจนเป็นค่าใช้จ่ายอาหารกลางวันแก่เด็กนักเรียนด้อยโอกาส 3. เพื่อสนับสนุนการจัดหาอุปกรณ์ทางการแพทย์ให้แก่โรงพยาบาล ตลอดจนยารักษาโรคเพื่อบำบัดรักษาผู้ป่วยที่ยากจน 4. เพื่อดำเนินการหรือร่วมมือกับองค์กรการกุศลต่างๆ เพื่อเป็นการกุศล หรือร่วมมือกับองค์กรสาธารณประโยชน์ เพื่อสาธารณประโยชน์ และ 5. ไม่เกี่ยวข้องกับการเมืองใดๆ ทั้งนี้ มูลนิธิฯ มีทุนจดทะเบียนเริ่มแรกเป็นเงินสด 200,000 บาท ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนให้ก่อตั้งมูลนิธิ ตามเลขทะเบียนลำดับที่ กท 2323 ประกาศ ณ วันที่ 22 พฤษภาคม 2556 ลงชื่อ นายประภาศ บุญยินดี ปฏิบัติราชการแทนปลัดกระทรวงมหาดไทย ในฐานะนายทะเบียนมูลนิธิกรุงเทพมหานคร

ต่อมาในช่วงเย็นวันเดียวกัน พ.ท.บุรินทร์ ได้ทำหนังสือร้องทุกข์มายังพนักงานสอบสวน บก.ป.ก่อนจะเบิกตัว นายประเสริฐ พรมมิ เลขานุการมูลนิธิประชาอุปถัมภ์บางรัก มาแจ้งข้อกล่าวหา รวม 4 ข้อหา ประกอบด้วย 1.ผู้ใดเป็นสมาชิกของคณะบุคคลปกปิดวิธีการที่มีความมุ่งหมายเพื่อการอันมิชอบด้วยกฎหมาย กระทำผิดฐานอั้งยี่ 2.ผู้ใดเรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตน หรือผู้อื่นในการจูงใจให้เจ้าพนักงานโดยวิธีอันทุจริตหรือผิดกฎหมาย ให้กระทำการหรือไม่กระทำการในหน้าที่อันเป็นคุณหรือโทษแก่บุคคลใด

3.ข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการหรือไม่กระทำการใด โดยกลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียง หรือทรัพย์สินของผู้ถูกข่มขืนใจ หรือโดยใช้กำลังประทุษร้าย และ 4.ข่มขืนใจผู้อื่นยอมให้ทรัพย์สินโดยใช้กำลงประทุษร้าย หรือขู่เข็ญว่าจะทำอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียงหรือทรัพย์สิน กระทำผิดฐานกรรโชกทรัพย์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 209 , 143 , 309 และ 337 ตามลำดับ

จากการสอบสวนเบื้องต้นนายประเสริฐ รับสารภาพว่า มีการเรียกเก็บเงินจากผู้ค้าที่หน้าวัดหัวลำโพง จริง แต่รายละเอียดที่มีการจดใส่กระดาษไว้ลูกน้องตนเป็นคนเขียนโดยเก็บค่าแผงค้าๆ ละ 200 บาท และมีการเรียกเก็บเงินเพิ่มอีก 100 บาทในช่วงเทศกาล เช่น วันลอยกระทง เพราะมีการขายของทั้งวันทั้งคืน เพื่อเป็นค่าเต็นท์ที่กางไว้กันแดดกันฝนซึ่งเราซื้อมาให้เขาเช่าอีกทอดหนึ่ง สำหรับเงินที่ได้มาก็จะแบ่งไว้ส่วนหนึ่งเท่านั้นโดยจะนำไปบริจาคให้กับมูลนิธิประชาอุปถัมภ์บางรัก ที่ตนเป็นเลขานุการอยู่ ทั้งนี้ทางทหารจะพิจารณากันตัวนายประเสริฐ ไว้เป็นพยานในคดีต่อไป ก่อนจะคุมตัวไปขออำนาจศาลอาญากรุงเทพใต้ ฝากขัง ในวันที่ 19 สิงหาคมนี้


กำลังโหลดความคิดเห็น