ตำรวจเร่งรวบรวมพยานหลักฐานดำเนินคดี ประธานสภา กทม. “พิพัฒน์ ลาภปรารถนา” หลังถูกทหารเชิญตัวพร้อมที่ปรึกษามากักไว้ตามกฎอัยการศึก เพราะถูกผู้ค้าหน้าวัดหัวลำโพงร้องเรียนว่ามีพฤติกรรมเรียกค่าคุ้มครอง คาด 18 - 20 ส.ค. นี้ เตรียมแจ้ง 4 ข้อหาหนัก
วันนี้ (15 ส.ค.) ที่กองปราบปราม ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้ากรณี พ.ท.บุรินทร์ ทองประไพ นายทหารพระธรรมนูญ พล.ม.2 รอ. และสารวัตรทหาร เชิญตัว นายพิพัฒน์ ลาภปรารถนา ประธานสภากรุงเทพมหานคร และสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร (ส.ก.) เขตบางรัก และ นายประเสริฐ พรมมิ เลขานุการมูลนิธิอุปถัมป์บางรัก ส่งมอบให้พนักงานสอบสวน บก.ป. ภายหลังทั้งสองถูกผู้ค้าที่หน้าวัดหัวลำโพง แขวงสี่พระยา เขตบางรัก กล่าวหาว่าเรียกรับเงินค่าคุ้มครองโดยอาศัยอำนาจตาม พ.ร.บ.กฎอัยการศึก กักตัวทั้งสองไว้ที่ห้องขัง บก.ป. มีกำหนดเวลา 7 วัน ว่า ทาง พ.ต.อ.ประสพโชค พร้อมมูล รอง ผบก.ป. ได้มอบหมายให้ พ.ต.ท.นทธีฤทธิ์ หาญเสน่ห์ลักษณ์ พนักงานสอบสวนผู้ชำนาญการพิเศษ กก.1 บก.ป. เร่งรวบรวมพยานหลักฐานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง
พ.ต.ท.นทธีฤทธิ์ กล่าวว่า ขณะนี้ได้แบ่งหน้าที่กันระหว่างพนักงานสอบสวนที่ได้รับมอบหมายจากผู้บังคับบัญชาในการรวบรวมพยานหลักฐาน โดยจะมีการตรวจสอบเอกสาร เช่น ใบเสร็จรับเงินสำเนาธนบัตรที่แม่ค้าผู้ร้องเรียนได้ถ่ายเก็บไว้ ส่วนเซิร์ฟเวอร์ภาพจากกล้องวงจรปิด จะนำส่งให้ทางเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน (พฐ.) ได้ตรวจสอบเนื่องจากเป็นเรื่องทางเทคนิค นอกจากนี้ พนักงานสอบสวนอีกส่วนหนึ่งก็จะลงพื้นที่ได้สอบปากคำพยานที่เป็นผู้ค้าซึ่งยังมีอีกกว่า 10 ราย เพื่อรวบรวมข้อมูลต่างๆ ให้ได้มากที่สุด
พ.ต.ท.นทธีฤทธิ์ กล่าวต่อว่า สำหรับกรณีการแจ้งข้อกล่าวหากับนายพิพัฒน์ และ นายประเสริฐ นั้นคงขึ้นอยู่กับทางทหารที่จะทำหนังสือร้องทุกข์ประสานมาที่พนักงานสอบสวน บก.ป. อีกครั้ง อย่างไรก็ดี คาดว่า น่าจะดำเนินการได้ภายในวันที่ 18 - 20 สิงหาคมนี้ ซึ่งจะครบกำหนดเวลาในการกักตัวบุคคลทั้งสองไว้ตามอำนาจ พ.ร.บ.กฎอัยการศึก ส่วนข้อกล่าวหายังคงอยู่ในกรอบของ 4 ข้อหาหลัก ประกอบด้วย 1. ผู้ใดเป็นสมาชิกของคณะบุคคลปกปิดวิธีการที่มีความมุ่งหมายเพื่อการอันมิชอบด้วยกฎหมาย กระทำผิดฐานอั้งยี่ 2. ผู้ใดเรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตน หรือผู้อื่นในการจูงใจให้เจ้าพนักงานโดยวิธีอันทุจริตหรือผิดกฎหมาย ให้กระทำการหรือไม่กระทำการในหน้าที่อันเป็นคุณหรือโทษแก่บุคคลใด 3. ข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการหรือไม่กระทำการใด โดยกลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียง หรือทรัพย์สินของผู้ถูกข่มขืนใจ หรือโดยใช้กำลังประทุษร้าย และ 4.ข่มขืนใจผู้อื่นยอมให้ทรัพย์สินโดยใช้กำลงประทุษร้าย หรือขู่เข็ญว่าจะทำอันตรายต่อชีวิต ร่งกายเสรีภาพ ชื่อเสียงหรือทรัพย์สินกระทำผิดฐานกรรโชกทรัพย์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 209, 143, 309 และ 337 ตามลำดับ
พ.ต.ท.นทธีฤทธิ์ กล่าวอีกว่า ทั้งนี้ หากมีการแจ้งข้อกล่าวหาแล้วขั้นตอนการดำเนินการก็จะคล้ายกับกรณีของ พล.ต.เจนรณรงค์ เดชวรรณ หรือ เสธ.เจมส์ ผู้ทรงคุณวุฒิสำนักปลัดกระทรวงกลาโหม โดยจะมีการพิมพ์ลายนิ้วมือทำประวัติและสอบปากคำก่อนจะคุมตัวไปขออำนาจศาล ฝากขัง ส่วนการยื่นเรื่องขอประกันตัวของผู้ต้องหาก็จะเป็นดุลพินิจของศาลแต่ขณะนี้คงยังไม่ถึงขั้นตอนดังกล่าวคงต้องรอทางฝ่ายทหารได้พิจารณาและทำหนังสือร้องทุกข์มายังพนักงานสอบสวน
ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีพ่อค้าแม่ค้าที่หน้าวัดหัวลำโพงบางส่วน ระบุว่าไม่ได้จ่ายเงินค่าที่ให้กับนายพิพัฒน์ นั้น พ.ต.ท.นทธีฤทธิ์ กล่าวว่า ตรงนี้ก็ต้องมีการสอบปากคำด้วย ถ้ายืนยันว่าไม่ได้จ่ายก็ต้องเข้าให้ข้อมูลกับพนักงานสอบสวน เพราะทางเราก็ต้องแสวงหาข้อเท็จจริงให้รอบด้านที่สุดแต่ขณะนี้พบว่าผู้ค้าทั้ง 17 ราย บางคนก็ไม่อยู่ กลับไปต่างจังหวัดก็ให้คนอื่นมาขายแทน ซึ่งคนที่มาขายก็ไม่น่าจะรู้เรื่องอะไร
พ.ต.ท.นทธีฤทธิ์ กล่าวว่า นอกจากนี้ ยังพบอีกว่าก่อนหน้านี้มีการจับปรับผู้ค้าโดยเจ้าหน้าที่เทศกิจก็จริง แต่ก็ทำเหมือนเป็นการเรียกเก็บค่าเช่าที่มากกว่า เพราะออกใบเสร็จโดยเรียกเก็บเงิน 200 บาท ซึ่งนั่นไม่ใช่อัตราโทษปรับตาม พ.ร.บ.รักษาความสะอาด ที่อย่างน้อยจะมีโทษปรับ 500 - 1,000 บาท ก็ทำกันมานาน กรณีเหล่านี้ก็คงจะต้องมีการตรวจสอบกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องต่อไป
มีรายงานข่าวแจ้งว่าหลังจากเจ้าหน้าที่ทหารได้เชิญตัว นายพิพัฒน์ และ นายประเสริฐ มาส่งมอบพนักงานสอบสวน บก.ป. แล้ว ได้ยืนยันว่า มีพยานหลักฐานเพียงพอที่จะดำเนินคดีกับทั้งสอง โดยมีทั้งภาพวงจรปิด และหลักฐานเอกสารต่างๆ ที่พิสูจน์ทราบมามีความแน่นหนา สามารถดำเนินคดีได้ ซึ่งทางทหารจะกักตัวนายพิพัฒน์ไว้ให้ได้ตามกำหนดระยะเวลา 7 วัน เนื่องจากเกรงว่าหากรีบเข้าร้องทุกข์เพื่อดำเนินคดีแล้ว เมื่อต้องคุมตัวนายพิพัฒน์ และนายประเสริฐฝากขังต่อศาล อาจจะได้รับการพิจารณาให้ประกันตัว หากเป็นเช่นนั้นเกรงว่าทั้งสอง จะเข้าไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐานในคดี
สำหรับการดำเนินการครั้งนี้พบว่ามีการกระทำกันเป็นขบวนการจึงต้องการที่จะกวาดล้างให้หมดสิ้น อย่างไรก็ดี หลังจากได้มีการเชิญตัวนายพิพัฒน์ มาแล้วนั้น ทางกลุ่มผู้ค้าในพื้นที่เขตบางรักเริ่มกล้าที่จะออกมาเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการถูกเรียกเก็บค่าคุ้มครองโดยทางทหารก็จะรวบรวมข้อมูลต่างๆ ที่ได้รับมาจากการซักถาม เพื่อส่งมอบให้กับทางพนักงานสอบสวน บก.ป. ในการพิจารณาดำเนินคดีต่อไป