xs
xsm
sm
md
lg

เปิดเบื้องหลังรวบแก๊งโจรสลัดปล้นเรือขนเงิน 120 ล้าน

เผยแพร่:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม

ผู้ต้องหาแก๊งโจรสลัด(เสื้อคลุมสีส้ม)
ถือเป็นผลงานชิ้นโบว์แดงของตำรวจกองปราบปรามกรณีรวบแก๊งโจรสลัดปล้นเรือขนเงินสดสกุลดอลลาสิงคโปร์และริงกิตมาเลเซีย มูลค่า 120 ล้านบาท ก่อนสังหารโหดลูกเรือเสียชีวิตยกลำ

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อช่วงเที่ยงวันของวันที่ 2 ตุลาคม ที่ผ่านมา ขณะที่ นายสริต แก้วผลึก นายท้ายเรือ นายเดชา พิมพ์ศักดิ์ ,นายสุชิน แก้วประเสริฐ ,นายสำราญ ภักดี ,นายจรวย กลิ่นหนู พาเรือโยงชื่อ “สถาพรวัฒนา” นำธนบัตรสกุลดอลล่าร์สิงคโปร์ จำนวน 2.6 ล้านเหรียญ และธนบัตรสกุลริงกิต มาเลเซีย 5.6 ล้านริงกิต คิดเป็นเงินไทยประมาณ 119,880,000 บาท ไปส่งให้ลูกค้าบริเวณเกาะโลซิน คาบเกี่ยว อ.หนองจิก กับ อ.เมือง จ.ปัตตานี

ระหว่างที่เรือกำลังวิ่งอยู่นั้น นายท้ายเรือก็รีบตะโกนบอกลูกเรือที่ตั้งวงเล่นไพ่ให้จับตาดูเรือสปีดโบ๊ตต้องสงสัยที่วิ่งรี่เข้าหาเรือโยงด้วยความเร็ว ทันใดนั้นเสียงปืนจากเรือสปีดโบ๊ตก็ระดมยิงเข้าใส่ นายท้ายจึงวิทยุแจ้งไปยังบริษัทว่าเรือถูกปล้น สิ้นเสียงวิทยุ นายท้ายและลูกเรือทั้งหมดต่างกระโดดน้ำทะเลหนีตายกันจ้าละหวั่น จากนั้นพวกโจรสลัดก็บุกขึ้นไปบนเรือพร้อมทั้งขนเงินสดขึ้นเรือ แล้วจมเรือขนเงินลงไปซุกก้น ทะเล จากนั้นคนร้ายก็ขับเรือตามไปฆ่าลูกเรือที่ลอยคอในทะเล อย่างเลือดเย็น

หลังเกิดเหตุร้าย น.ส.แตงไทย บ้านมะหิงษ์ ผู้รับมอบอำนาจจาก บริษัท สหทรัพย์อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด เจ้าของเรือโยง รุดเข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวน สภ.เมืองปัตตานี ด้วยเห็นเป็นคดีสำคัญเกินกำลังของตำรวจท้องที่ ในวันที่ 9 ต.ค.ทางบริษัทจึงโร่เข้าแจ้งความพนักงานสอบสวน กองปราบปราม ให้ช่วยสืบหาตัวกลุ่มคนร้ายอีกแรง

เมื่อรับแจ้ง พล.ต.ต.สุพิศาล ภักดีนฤนาถ ผบก.ป.ก็รีบสั่งการให้ พ.ต.อ.ทินกร รังมาตย์ ผกก.6 บก.ป.พ.ต.ท.จิรพงศ์ รุจิรดำรงค์ชัย รอง ผกก.6 บก.ป.จัดทีมสืบสวนลงพื้นที่คลี่คลายคดี

พ.ต.อ.ทินกร กล่าวว่า คดีดังกล่าวคนร้ายน่าจะเป็นคนใน หรือคนที่เคยทำงานในเรือมาก่อน จึงออกหาข่าว โดยตั้งสมมติฐานว่า คนร้ายที่ปล้นเงินต่างประเทศนั้นจะต้องรีบนำเงินมาแลกเพื่อใช้จ่ายอย่างแน่นอน อีกทั้งธนบัตร 1,000 ดอลล่าร์สิงคโปร์นั้นไม่ค่อยมีใครนำมาแลกกัน เนื่องจากมีราคาสูง

จากนั้น ผกก.นักสืบไฟแรง ได้ให้สายฝังตัวตามร้านรับแลกเปลี่ยนเงินตราในพื้นที่ภาคใต้ตอนล่าง โดยเฉพาะใน อ.หาดใหญ่ และ อ.เมือง จ.สงขลา โดยให้ร้านมาสเตอร์ ใน อ.หาดใหญ่ หรือเรียกกันติดปากว่าร้านแตงไทย ซึ่งเป็นเจ้าของเงินที่ถูกปล้นประกาศรับแลกธนบัตร 1,000 ดอลล่าร์สิงคโปร์ แพงกว่าร้านรับแลกเปลี่ยนเงินตราทั่วไป

ไม่กี่วันทางร้านก็ได้รับโทรศัพท์จากร้านแลกเงินตราต่างประเทศ ชื่อร้านเจ๊พร ใน อ.เมือง จ.สงขลา มาขอราคาค่าแลกเงิน โดยบอกว่า มีเงินสกุลดอลล่าร์สิงคโปร์จำนวนมากจะมาแลก เมื่อตกลงกัน เจ๊พร ก็นำเงินมาแลกที่ร้านมาสเตอร์ เมื่อทางร้านตรวจสอบพบธนบัตรดังกล่าวมีตำหนิเป็นรูปอักษร “เอส” ซ่อนอยู่ เจ้าหน้าที่จึงคุมเจ๊พรมาสอบถึงที่มาที่ไปของธนบัตรดังกล่าว

โดยเจ๊พร ให้การกับตำรวจว่า ก่อนหน้านี้มีหญิงคนหนึ่งนำเงินจำนวน 1 แสนเหรียญดอลล่าร์มาแลกที่ร้าน จากนั้นก็มีผู้ชายขับรถปาเจโร่ สีขาว ทะเบียน 1041 สงขลา มารับไป เจ้าหน้าที่จึงดูภาพคนร้ายจากกล้องวงจรปิด พร้อมทั้งเช็คทะเบียนรถจนทราบว่า นายทวี นิตย์ปราณ อายุ 47 ปี อยู่บ้านเลขที่ 88/5 ถ.ริมทางรถไฟนอก ต.บ่อยาง อ.เมือง จ.สงขลา เป็นผู้ครองครองรถคันดังกล่าว
กระทั่งวันที่ 22 ต.ค.จึงขอหมายค้นเข้าตรวจสอบบ้านพัก ตอนแรกนายทวี โวยวายด้วยความไม่พอใจ

แต่เมื่อเจ้าหน้าที่พบธนบัตร 1,000 ดอลล่าร์สิงคโปร์ และริงกิตมาเลเซีย ซุกซ่อนอยู่ในเบาะและหัวเตียงในห้องนอน เจ้าตัวถึงกับหน้าซีดเหมือนไก่ต้ม เมื่อตรวจสอบดูก็พบรอยตำหนิตัวเอส จึงคุมตัว นายทวี มาสอบสวน จนเจ้าตัวยอมรับจนหมดปาก เจ้าหน้าที่ได้รวบรวมพยานหลักฐานขอศาลอนุมัติหมายจับผู้ต้องหารวมทั้งหมด 8 ราย ตามหมายจับศาลอาญา ที่ 2087, 2089, 2091 และ 2092/2556 ลงวันที่ 23 ตุลาคม 2556 ตามลำดับ ข้อหาร่วมกันกระทำการเป็นโจรสลัด ปล้นทรัพย์โดยมีและใช้อาวุธ และพยายามฆ่า

จากการสอบสวนทราบว่าผู้วางแผนปล้นในครั้งนี้คือ นายพันธ์ หรือเม้ง สังข์ทอง อายุ 47 ปี อยู่บ้านเลขที่ 48/10 ถ.เตาอิฐ ต.บ่อยาง อ.เมือง จ.สงขลา ซึ่งเคยเป็นนายท้ายเรือขนเงินลำดังกล่าว เมื่อเห็นเงินจำนวนมากจึงเกิดความโลภ ชักชวน นายทวี , นายประเสริฐ หรือโชติ สงช่วย อายุ 47 ปี อยู่บ้านเลขที่ 56 หมู่ที่ 5 ต.หน้าสตน อ.หัวไทร จ.นครศรีธรรมราช ,นายสัมพันธ์ หรือยาว วรรณุรัตน์ อายุ 47 ปี อยู่บ้านเลขที่ 48/46 หมู่ที่ 1 ต.บางริ้น อ.เมือง จ.ระนอง ,นายกิตติพิชญ์ หรือนุ้ย ทิพย์กองลาศ อายุ 42 ปี อยู่บ้านเลขที่ 68/1 หมู่ที่ 4 ต.กรุงหยัน อ.ทุ่งใหญ่ จ.นครศรีธรรมราช ,นายเกษม หรือชาม ขันปาน อายุ 37 ปี อยู่บ้านเลขที่ 144 หมู่ที่ 6 ต.หน้าสตน อ.หัวไทร จ.นครศรีธรรมราช , นายสมยศ หรือเคว็ด สุดเหลือ อายุ 43 ปี อยู่บ้านเลขที่ 121 /25 หมู่ที่ 21ต.ประสงค์ อ.ท่าชนะ จ.สุราษฎร์ธานี และ นายอาคม พูนชนะ อายุ 45 ปี อยู่บ้านเลขที่ 108/1 หมู่ที่ 5 ต.หน้าสตน อ.หัวไทร จ.นครศรีธรรมราช มาร่วมแก๊งปล้น

เมื่อวางแผนกันแล้วก็ได้มอบหมายให้ นายอาคม และ นายสัมพันธ์ ซึ่งทำงานอยู่ในเรือดังกล่าวคอยรายงานความเคลื่อนไหวให้ทราบ จากนั้นก็ได้ไปซื้อเรือสปีดโบ๊ต 10 ที่นั่ง ราคา 5 แสนบาท จากเกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี โดยมีนายทุนออกเงินให้ แล้วขับเรือมาจอดไว้ที่ ปากน้ำ ต.หน้าสตน อ.หัวไทร จ.นครศรีธรรมราช เพื่อรอข่าวจากเรือโยงขนเงิน

ต่อมาสายจากเรือโยงแจ้งว่าอีกไม่กี่วันจะมีการขนเงินสดจำนวนมากไปส่งให้ลูกค้าที่บริเวณเกาะโลซิน จึงขับเรือไปจอดรอไว้ที่บ้านของลูกสะใภ้ นายประเสริฐ ใน อ.เทพา จ.สงขลา พร้อมทั้งซ้อมขับเรือเพื่อความคล่องมือแถวเกาะขาม กระทั่งวันเกิดเหตุ นายอาคมซึ่งเป็นหนอนบ่อนไส้ในเรือโยงก็โทรมาแจ้งพิกัดจุดนัดส่งมอบเงินกัน

จากนั้น นายประเสริฐ ซึ่งทำหน้าที่ขับเรือพา นายทวี พร้อมปืนพกอูซี่ นายพันธ์ พก 9 มม. นายกิตติพิชญ์ พก .357 นายสมยศ พกปืนลูกซอง และ นายเกษม ออกมาจาก อ.เทพา วิ่งตามหาเรือโยง ส่วนนายสัมพันธ์ ไม่ได้ขึ้นเรือไปด้วยเนื่องจากป่วยกะทันหัน

เมื่อเจอเรือโยงแล้วทั้งหมดจึงระดมยิงใส่จนลูกเรือกระเจิงลงน้ำคนละทิศละทาง ส่วน นายอาคมก็รีบเข้าไปหยุดเรือเพื่อให้พวกบุกเข้ามาขนเงินมาใส่เรือสปีดโบ๊ต ก่อนจมเรือทิ้ง แล้วก็ไล่ฆ่าปิดปากลูกเรือที่ลอยคออยู่กลางทะเลจนตายหมด จากนั้นก็นำเงินที่ได้มาแบ่งกันกลางทะเลบริเวณปากน้ำ ต.หน้าสตน อ.หัวไทร จ.นครศรีธรรมราช พร้อมทั้งเผาเรือที่ใช้ก่อเหตุทิ้งเพื่อทำลายหลักฐาน แล้วทยอยนำเงินไปแลกมาซื้อสร้อยคอทองคำ ซื้อที่ดินและทรัพย์สินต่างๆ รวมทั้งฝากไว้กับภรรยา และญาติพี่น้อง

ต่อมาเจ้าหน้าที่เร่งตามหาผู้ต้องหาที่เหลือกระทั่งสืบทราบว่า นายพันธ์ นายประเสริฐ และนายอาคมและพรรคพวกรวม 11 คน กำลังเลี้ยงฉลองผลงานปล้นครั้งนี้กันอยู่ที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งย่านแหลมสน จ.กระบี่ หลังจากนายพันธ์ ได้มาหาซื้อที่ดินใน จ.กระบี่ เพื่อทำรีสอร์ท แต่กำลังตำรวจ กก.6 บก.ป.มีแค่ 4 นาย จึงประสานขอกำลังเสริมจากตำรวจท้องที่ ระหว่างนั้นคนร้ายได้กลิ่นแปลก ๆ จึงรีบขับรถออกไป เจ้าหน้าที่จึงรีบขับรถตามไป แต่ไม่ทัน จากนั้นเจ้าหน้าที่จึงมารออยู่ที่ร้านเดิม กระทั่งรถคนร้ายขับเข้ามาใหม่ จึงทำทีออกอุบายว่าได้รับแจ้งจากชาวบ้านว่ารถคันดังกล่าวหนีคดีชนคนตายมา ขอเข้าตรวจค้นในรถ แต่คนร้ายไม่ยอมให้ตรวจค้น เจ้าหน้าที่จึงต่อรองว่าให้ไปที่โรงพักใกล้ ๆ เพื่อความโปร่งใส คนร้ายทั้ง 3 รายหลงกลเดินทางให้ไปจับโดยละมุนละม่อม และจับกุม นายสัมพันธ์ ได้ที่ขนส่ง จ.สงขลา

ส่วน นายกิตติพิชญ์ และ นายสมยศ ถูก ชุดสืบสวน กองบัญชาการนครบาล ตามจับกุม ได้ที่บริเวณหน้าหมู่บ้านธรินภรณ์ วิลล่า ถ.เทิดพระเกียรติ ต.บางกรวย อ.บางกรวย จ.นนทบุรี พร้อมของกลางเงินสดสกุลริงกิต ประเทศมาเลเซีย คิดเป็นเงินไทย 5 ล้านบาท และ ตามจับกุม นายเกษม ได้ ที่ จ .ตรัง ส่วนนายอาคม เจ้าหน้าที่จะกันไว้เป็นพยาน เนื่องจากถูกข่มขู่ให้รับงานปล้น หากไม่ทำจะฆ่าลูกเมียให้ตาย

พ.ต.อ.ทินกร กล่าวว่าเบื้องต้นเจ้าหน้าที่ติดตามเงินคืนมาได้รวม 40 กว่าล้านบาท ซึ่งกำลังตามไปยึดอีกจำนวนหนึ่ง ส่วนลูกเรือที่หายไปนั้นยังไม่พบศพแต่อย่างใด เชื่อว่าน่าจะเสียชีวิตแล้วทั้งหมด เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ได้ตั้งข้อหาพยายามฆ่าแก่ผู้ต้องหา เนื่องจากยังไม่พบศพลูกเรือผู้เคราะห์ร้าย อย่างไรก็ตามเราก็มีหลักพยานหลักฐานยืนยันทั้งหมดถูกยิงตายแล้ว ส่วนประเด็นที่สังคมสงสัยว่าเงินในเรือที่ถูกปล้นนั้นเป็นเงินที่ได้มาจากธุรกิจผิดกฎหมายหรือไม่นั้น ทางเราจะตรวจสอบอีกครั้ง ซึ่งขณะนี้ทราบชื่อลูกค้าคนดังกล่าวแล้ว ซึ่งจะมีการประสานเจ้าหน้าที่หน่วยอื่นที่มีความเชี่ยวชาญเข้ามาร่วมสอบสวนด้วย

ถือเป็นผลงานชิ้นโบว์แดงของตำรวจกองปราบปรามที่สามารถตามลากคอแก๊งโจรสลัดจิตใจโหดเหี้ยมมาดำเนินคดีได้ยกแก๊ง โดยการบัญชาการโดย พ.ต.อ.ทินกร รังมาตย์ ผกก.6 บก.ป.ที่ลงมาลุยงานกับลูกน้องหามรุ่งหามค่ำจนสามารถปิดคดีสำคัญได้อย่างหมดจด

มาตุภูมิ มุสลิมีน : รายงาน
ตร.ปราบปรามแถลงผลการจับกุมแก๊งโจรสลัดปล้นเรือขนเงิน 120ล้านบาท
ตร.ปราบปราบ แถลงผลการจับกุม แก๊งโจรสดัด ปล้นเงินกว่า 120บาท
ตร.ปราบปราบ แถลงจับกุมแก๊งโจรสลัด ปล้นเงินมูลค่ากว่า 120ล้านบาท พร้อมของกลาง
โฉมหน้าผู้ต้องหา แก๊งโจรสลัด บุกปล้นเรือขนเงินกว่า 120ล้านบาท
จนท.ควบคุมตัวผู้ต้องหาแก๊งโจรสลัด
กำลังโหลดความคิดเห็น