ตราด - อพท.ร่วมสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวจ.ตราด ดำสำรวจการจมเรือช้าง ตามโครงการเรือหลวงช้างรักษ์ทะเลตราด พบหลายจุดยังไม่เรียบร้อย บางส่วนต้องปรับเปลี่ยนเพื่อความเหมาะสม
วันนี้ (13 ธ.ค.) นายธัชชัย วัชราลักษณ์ ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารแผนและประสานงาน สำนักงานพื้นที่พิเศษหมู่เกาะช้างและพื้นที่เชื่อมโยง 1 (สพพ.1) องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) หรือ อพท. น.ท.สมบัติ บุญเกิดพานิช นายกสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวจังหวัดตราด ผู้เกี่ยวข้องด้านการตรวจรับงานโครงการเรือหลวงช้างรักษ์ทะเลตราด และนักดำน้ำจำนวนหนึ่ง ลงเรือโดยสารเดินทางไปยังกลางทะเลด้านหลังเกาะคุ้ม หรือแนวหินราบ-หินลูกบาด เพื่อตรวจสอบความเรียบร้อยการจมเรือหลวงช้าง ลงใต้ทะเลเกาะช้าง ที่ได้นำลงวางเมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายนที่ผ่านมา
ทั้งนี้ เรือหลวงช้าง 712 มีความยาว 110 เมตร กว้าง 20 เมตร สูง 26 เมตร เป้าหมายในการนำวางใต้ทะเลเพื่อให้เป็นบ้านปลา ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการติดตั้งยังไม่เสร็จเรียบร้อย และยังไม่ได้ติดตั้งทุ่นสำหรับผูกเรือขนาดใหญ่ จึงไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวดำน้ำบริเวณดังกล่าว เพราะอาจเป็นอันตรายต่อนักท่องเที่ยวได้ สำหรับเรือหลวงช้าง 712 ทางกองทัพเรือสหรัฐอเมริกาได้มอบให้มาใช้ในภารกิจของกองทัพเรือไทย หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจการขนยุทโธปกรณ์เพื่อทำการสู้รบในสงครามเกาหลี เมื่อประมาณปี 2505 ได้ปลดระวางประจำการเมื่อปี 2548 โดยนายกสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวจังหวัดตราด ได้ประสานงานกองทัพเรือเพื่อขอนำมาทำประโยชน์เป็นบ้านปลา หรือปะการังเทียม ภายใต้โครงการเรือหลวงช้างรักษ์ทะเลตราด โดย อพท.สนับสนุนงบประมาณเป็นค่าใช้จ่าย 5.5 ล้านบาท ซึ่งล่าสุด เหลือเพียงการติดตั้งสัญญาณไฟ และวางแนวทุ่นโดยรอบจุดที่จมเรือ เพื่อให้มองเห็นในระยะไกล ป้องกันเรือประมง และเรือบรรทุกสินค้าขนาดใหญ่ผ่านเข้ามาในระยะใกล้เคียง ซึ่งอาจเกิดอันตรายได้
น.ท.สมบัติ กล่าวว่า การดำลงไปสำรวจพบว่ายังมีอีกหลายส่วนที่ผู้รับเหมายังไม่ได้ทำ โดยเฉพาะการติดตั้งทุ่รอบตัวเรือ และไฟแสดงสัญญาณ ต้องแจ้งให้ผู้รับเหมามาดำเนินการให้เรียบร้อย เพราะหากปล่อยไว้นานจะเกิดปัญหาตามมาในภายหลังได้ อย่างไรก็ตาม แม้งานยังไม่เรียบร้อย แต่ได้พบปลาขนาดเล็กหลายชนิดจำนวนมาก อีกสักระยะปลาขนาดใหญ่ก็จะตามมา ซึ่งคงต้องดคุยกับเจ้าของธุรกิจดำน้ำที่ไม่ค่อยให้ความร่วมมือ
“หลังจากโครงการเสร็จแล้ว ต้องจัดระบบการใช้ประโยชน์บริเวณจุดจมเรือ โดยคาดว่าภายใน 3 เดือนจะสามารถเปิดให้นักท่องเที่ยวดำน้ำได้อย่างเป็นทางการ มั่นใจว่าจะต้องได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทย และชาวต่างชาติแน่นอน”