ผู้การกองปราบฯ แถลงข่าวจับกุมแก๊งโจรสลัดไทย ก่อเหตุบุกปล้นเรือขนเงินหลายสกุล ได้เงินไปมูลค่ากว่า 120 ล้านบาท สารภาพวางแผนการปล้นมาล่วงหน้าเป็นอย่างดี ส่งสมาชิกในแก๊งปลอมตัวเข้าไปทำงานบนเรือคอยดูต้นทางส่งสัญญาณปล้น ก่อนเร่งเรือสปีดโบตประกบยิงลูกเรือและนายท้ายเรือดับ ทิ้งศพเป็นผีเฝ้าทะเล ก่อนนำทรัพย์สินมาแบ่งกัน ตร.เร่งติดตามลากคอเพื่อนร่วมแก๊งที่ยังหลบหนีอยู่เชื่อยังอยู่ในไทย
คลิกเพื่อรับชมคลิป...
วันนี้ (25 ต.ค.) ที่กองปราบปราม เมื่อเวลา 13.00 น. พล.ต.ต.สุพิศาล ภักดีนฤนาถ ผบก.ป. พ.ต.อ.ประสพโชค พร้อมมูล รอง ผบก.ป. พ.ต.อ.ทินกร รังมาตย์ ผกก.6 บก.ป.แถลงข่าวจับกุม นายทวี นิตย์ปราณ อายุ 47 ปี อยู่บ้านเลขที่ 88/5 ถ.ริมทางรถไฟนอก ต.บ่อยาง อ.เมือง จ.สงขลา นายพันธ์ หรือเม้ง สังข์ทอง อายุ 47 ปี อยู่บ้านเลขที่ 48/10 ถ.เตาอิฐ ต.บ่อยาง อ.เมือง จ.สงขลา นายประเสริฐ หรือโชติ สงช่วย อายุ 47 ปี อยู่บ้านเลขที่ 56 หมู่ที่ 5 ต.หน้าสตน อ.หัวไทร จ.นครศรีธรรมราช และนายสัมพันธ์ หรือยาว วรรณุรัตน์ อายุ 47 ปี อยู่บ้านเลขที่ 48/46 หมู่ที่ 1 ต.บางริ้น อ.เมือง จ.ระนอง ตามหมายจับศาลอาญา ที่ 2087, 2089, 2091 และ 2092/2556 ลงวันที่ 23 ตุลาคม 2556 ตามลำดับ ข้อหาร่วมกันกระทำการเป็นโจรสลัด ปล้นทรัพย์โดยมีและใช้อาวุธ และพยายามฆ่า พร้อมของกลางธนบัตรสกุลดอลลาร์สิงคโปร์ ธนบัตรสกุลริงกิต มาเลเซีย ธนบัตรไทยราคาฉบับละ 1,000 บาท และทรัพย์สินต่างๆ รวมกว่า 40 ล้านบาท และอาวุธปืนขนาด 9 มม.1 กระบอก โดยจับกุมได้ที่ จ.ปัตตานี และ จ.สงขลา
พล.ต.ต.สุพิศาลกล่าวว่า การจับกุมครั้งนี้เนื่องจากเมื่อวันที่ 9 ตุลาคมที่ผ่านมา น.ส.แตงไทย บ้านมะหิงษ์ ผู้รับมอบอำนาจจากบริษัท สหทรัพย์อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด เข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวน บก.ป.ขอให้ช่วยสืบสวนจับกุมกลุ่มคนร้ายที่ร่วมกันใช้อาวุธบุกปืนเข้าปล้นทรัพย์เป็นธนบัตรสกุลดอลล่าร์สิงคโปร์ จำนวน 2.6 ล้านเหรียญ และธนบัตรสกุลริงกิต มาเลเซีย จำนวน 5.6 ล้านริงกิต คิดเป็นเงินไทย 119,880,000 บาท โดยธนบัตรทั้งหมดอยู่ในเรือโยงชื่อ “สถาพรวัฒนา” ซึ่งเป็นเรือที่บริษัทดังกล่าวใช้ขนเงินสดส่งให้กับลูกค้า โดยออกจากท่าเรือลอยลำอยู่ในน่านน้ำไทย บริเวณเกาะโลซิน จ.ปัตตานี เมื่อวันที่ 2 ตุลาคมที่ผ่านมา
พล.ต.ต.สุพิศาลกล่าวต่อว่า ผู้เสียหายให้ข้อมูลว่าก่อนเกิดเหตุได้รับแจ้งจากลูกเรือผ่านทางวิทยุสื่อสาร ว่ามีกลุ่มคนร้ายบุกปล้นเรือขนเงิน ภายหลังเกิดเหตุได้พยายามติดต่อลูกเรืออีก แต่วิทยุสื่อสารก็ขาดหายไปไม่สามารถติดต่อได้ กระทั่งเมื่อวันที่ 9 ตุลาคมจึงมั่นใจว่าเกิดเหตุร้ายกับลูกเรือทั้งหมด รวมทั้งทรัพย์สินของทางบริษัทด้วย จึงรีบเข้ามาแจ้งความ หลังนั้นตนได้สั่งการให้ พ.ต.อ.ทินกร นำกำลังชุดสืบสวนลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงและสืบสวนหาเบาะแสคนร้าย โดยประสานการทำงานร่วมกับตำรวจน้ำ งานสืบสวนสอบสวน ศชต. กองบังคับการสืบสวนสอบสวนภูธรภาค 8 และ 9 กองกำกับการสืบสวนภูธร จ.ปัตตานี จ.สงขลา และ จ.กระบี่ สืบหาเบาะแส โดยเฉพาะแหล่งรับแลกเปลี่ยนเงินตราในพื้นที่ กระทั่งพบว่ามีการนำธนบัตรสกุลดอลลาร์สิงคโปร์ของบริษัทผู้เสียหายที่มีการทำตำหนิเป็นตัวอักษรเอส ไปขึ้นเงิน เจ้าหน้าที่จึงเร่งตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิด จนทราบว่านายพันธ์ และนายประเสริฐ ได้ร่วมกันคิดวางแผนก่อเหตุในครั้งนี้จึงควบคุมตัวมาสอบสวน
พล.ต.ต.สุพิศาลกล่าวต่อว่า จากการสอบทราบว่า ได้มีนายอาคม พูนชนะ อายุ อายุ 45 ปี อยู่บ้านเลขที่ 108/1 หมู่ที่ 5 ต.หน้าสตน อ.หัวไทร จ.นครศรีธรรมราช เพื่อนร่วมแก๊งซึ่งเป็นพนักงานบริษัทที่อยู่บนเรือขนเงินทำหน้าที่เป็นสายให้ โดยทราบความเคลื่อนไหวทุกอย่าง จากนั้นพวกตนได้ไปซื้อเรือสปีดโบต 10 ที่นั่งมาจากเกาะสมุยในราคา 5 แสนบาท ก่อนนำมาจอดไว้ที่ท่าเรือปากน้ำ ต.หน้าสตน อ.หัวไทร จ.นครศรีธรรมราช เมื่อได้รับแจ้งจากนายอาคมว่าจะมีการนำเงินไปส่งมอบกันที่บริเวณเกาะโลซิน จ.ปัตตานี ในวันที่ 2 ต.ค.ผู้ต้องหาทั้งหมดพร้อมอาวุธปืนจำนวน 4 กระบอกนำเรือวิ่งจากท่าเรือปากน้ำ ต.หน้าสตน ไปยังเกาะดังกล่าว
พล.ต.ต.สุพิศาลกล่าวอีกว่า เมื่อเรือโยงขนเงินเดินทางมาถึงจุดนัดหมาย นายอาคม ก็ส่งสัญญาณให้กลุ่มคนร้ายขับเรือสปีดโบ๊ตเข้าประกบเรือโยง จากนั้นได้และใช้อาวุธปืนยิงเข้าใส่เรือ แล้วยิงลูกเรือประกอบด้วย นายเดชา พิมพ์ศักดิ์ นายสุชิน แก้วประเสริฐ นายสำราญ ภักดี นายจรวย กลิ่นหนู นายสริต แก้วผลึก นายท้ายเรือ ซึ่งตอนนี้ยังไม่พบศพ ก่อนจะบุกปล้นเงินในเรือลำเกิดเหตุแล้วพากันหลบหนีไป โดยนำเงินที่ได้มาแบ่งกันในบริเวณปากน้ำ ต.หน้าสตน อ.หัวไทร พร้อมทั้งเผาเรือทิ้งเพื่อทำลายหลักฐาน จากจากนั้นผู้ต้องหาบางส่วนได้นำเงินไปซื้อสร้อยคอทองคำ และทรัพย์สินต่างๆ รวมทั้งฝากไว้กับภรรยา และญาติพี่น้อง ขณะนี้ทางเจ้าหน้าที่ได้เร่งติดตามนำคืนกลับมา โดยบางส่วนผู้ที่รับเงินไปได้ติดต่อที่จะคืนเงินแล้ว อย่างไรก็ตามหากพบว่าเป็นการกระทำผิด ก็จะพิจารณาดำเนินคดีตามความผิดฐานฟอกเงินด้วย
พล.ต.ต.สุพิศาลกล่าวด้วยว่า นอกจากนี้ จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้รวบรวมหลักฐานขออนุมัติศาลอาญา ออกหมายจับผู้ต้องหาที่ยังหลบหนีอีก 4 ราย ประกอบด้วย นายอาคม นายกิตติพิชญ์ หรือนุ้ย ทิพย์กองลาศ อายุ 42 ปี อยู่บ้านเลขที่ 68/1 หมู่ที่ 4 ต.กรุงหยัน อ.ทุ่งใหญ่ จ.นครศรีธรรมราช นายเกษม หรือชาม ขันปาน อายุ 37 ปี อยู่บ้านเลขที่ 144 หมู่ที่ 6 ต.หน้าสตน อ.หัวไทร จ.นครศรีธรรมราช และนายสมยศ หรือเคว็ด สุดเหลือ อายุ 43 ปี อยู่บ้านเลขที่ 121 /25 หมู่ที่ 21ต.ประสงค์ อ.ท่าชนะ จ.สุราษฎร์ธานี ซึ่งเจ้าหน้าที่กำลังติดตามตัวมาดำเนินคดีต่อไป
ด้าน พ.ต.อ.ทินกร กล่าวถึงการติดตามตัวคนร้ายที่เหลือว่า หลังจากที่จับกุมผู้ต้องหาชขุดแรกได้แล้ว ตอนนี้ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ กก.6.บก.ป.ลงพื้นที่ภาคใต้ เพื่อติดตามตัวคนร้ายที่เหลืออยู่แล้ว รวมทั้งประสานไปยังตำรวจภูธรภาค 8 ภาค 9 รวมทั้งตำรวจน้ำ และตำรวจทางหลวง เพื่อติดตามคนร้ายที่เหลือ นอกจากนี้ยังพอทราบว่าผู้ต้องบางรายได้มาอยู่ย่านปริมณฑล ขณะนี้กำลังสืบสวนอยู่ ส่วนผู้ต้องหารายอื่นๆยังอยู่ในประเทศไทยไม่ได้หลบหนีไปนอกประเทศแน่นอน คาดว่าจะหลบซ่อนอยู่ตามบ้านญาติๆ ซึ่งเจ้าหน้าที่กำลังกดดันให้ออกมามอบตัว และเมื่อผู้ต้องหาเห็นข่าวแล้วน่าจะติดต่อเข้ามามอบตัวแน่นอน เพราะตำรวจได้กระจายออกสืบสวนกดดันหาตัวตามแหล่งที่คาดว่าคนร้ายซ่อนตัวอยู่แล้ว
ส่วน น.ส.แตงไทย ผู้รับมอบอำนาจจากบริษัท สหทรัพย์อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด กล่าวเพียงสั้น ๆ ว่า บริษัทดังกล่าวทำธุรกิจรับแลกเงินตราต่างประเทศอยู่ที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา จากนั้นก็นำไปส่งให้ลูกค้าระดับวีไอพี ที่เกาะโลซิน กระทั่งมาถูกปล้นดังกล่าว
สอบสวนเบื้องต้นผู้ต้องหาทั้ง 4 ราย ให้การรับสารภาพ โดยนายทวีกล่าวว่า วางแผนก่อนลงมือเป็นเวลาประมาณ 3 เดือน มีการแบ่งหน้าที่กัน รวมทั้งจัดหาเรือเร็วมาใช้ก่อเหตุและหลบหนี ช่วงที่ก่อเหตุก็ไม่ทราบว่าเรือลำดังกล่าวจะมีเงินที่ขนมาเป็นจำนวนมาก โดยตนทราบความเคลื่อนไหวจากผู้ต้องหาที่เป็นพนักงานในเรือ
ทั้งนี้ ชุดจับกุมได้นำตัวผู้ต้องหาพร้อมของกลาง ส่งพนักงานสอบสวน กก.6 บก.ป.รับไว้ดำเนินคดีและขยายผลจับกุมต่อไป