อัยการสูงสุดสั่งร่างคำฟ้อง “อภิสิทธิ์-เทพเทือก” ผู้ต้องหาสั่งทหารยิงเสื้อแดง ระบุหากไม่ใช้เอกสิทธิ์ ส.ส.คุ้มครอง ก็จะยื่นฟ้องได้ทัน 31 ต.ค.นี้ รองโฆษกอัยการฯ ระบุดีเอสไอแยกสำนวนคดีไม่ได้ เพราะเป็นคำสั่งเพียงครั้งเดียว
วันนี้ (29 ต.ค.) นายวัชรินทร์ ภาณุรัตน์ รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด เปิดเผยถึงกรณีที่ นายอรรถพล ใหญ่สว่าง อัยการสูงสุด มีคำสั่งฟ้องนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และอดีตนายกรัฐมนตรี กับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ส.ส.สุราษฎร์ธานี อดีตรองนายกฯ และอดีต ผอ.ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ผู้ต้องหาที่ 1-2 ข้อหาร่วมกันก่อหรือใช้ให้ผู้อื่นกระทำผิดฐานฆ่าและพยายามฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80, 83, 84, 90 และ 288 จากกรณีสลายการชุมนุมของกลุ่ม นปช. เมื่อปี 2553 และได้นัดหมายให้มาพบ เพื่อนำตัวฟ้องศาลในวันที่ 31 ต.ค.นี้ว่า ภายหลังจากที่อัยการสูงสุดมีคำสั่งฟ้องแล้วก็ได้ส่งสำนวนคดีกลับมาที่อัยการสำนักงานคดีพิเศษ โดยอัยการสูงสุดสั่งให้ทางอัยการสำนักงานคดีพิเศษเตรียมร่างคำฟ้องให้เสร็จเรียบร้อยก่อนวันที่ 31 ต.ค.นี้ เพื่อที่จะได้เตรียมฟ้องผู้ต้องหาต่อศาลได้ทัน ซึ่งหากในวันดังกล่าวนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพ เดินทางมาพบอัยการตามนัด ทางอัยการก็จะแจ้งคำสั่งฟ้องของอัยการสูงสุดให้รับทราบอย่างเป็นทางการ จากนั้นจะต้องรอดูว่า ทางผู้ต้องหามีความประสงค์อย่างไร หากผู้ต้องหาประสงค์ใช้เอกสิทธิ์ ส.ส.คุ้มครอง ก็สามารถทำได้ โดยทางอัยการก็จะพิจารณาอีกครั้งว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป โดยอาจจะต้องนัดผู้ต้องหามาฟ้องต่อศาลอีกครั้งภายหลังปิดสมัยประชุมสภาแล้ว
อย่างไรก็ตาม คำสั่งของอัยการสูงสุดถือว่าเป็นที่สิ้นสุดแล้ว ผู้ต้องหาไม่สามารถร้องขอความเป็นธรรมได้อีก ส่วนกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ ก็ไม่สามารถมีความเห็นแย้งได้เช่นกัน
เมื่อถามว่าทางดีเอสไอยืนยันว่าจะต้องฟ้องแยกสำนวนคดีนั้น นายวัชรินทร์ รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุดกล่าวว่า อัยการสูงสุดมองว่ากรณีดังกล่าวเป็นการออกคำสั่งครั้งเดียว จึงเป็นความผิดกรรมเดียว แต่ดีเอสไอมองว่าเป็นความผิดหลายกรรม เพราะมองแยกเป็นคดีๆ ของผู้เสียชีวิตแต่ละรายเหมือนคำสั่งชันสูตรพลิกศพ ซึ่งต่อให้ทางดีเอสไอแยกสำนวนฟ้อง สุดท้ายก็ต้องเอามารวมเป็นคดีเดียวกันในชั้นศาล และสุดท้ายศาลก็จะพิพากษาครั้งเดียว ซึ่งโทษสูงสุดก็คือประหารชีวิตเหมือนกัน แต่ทั้งนี้ทางอัยการก็ไม่ตัดสิทธิของญาติผู้เสียชีวิตที่สามารถยื่นฟ้องเองได้ตามกฎหมายทั้งทางแพ่งและอาญา
“อัยการสูงสุดมองว่านายอภิสิทธิ์และนายสุเทพไม่ได้เจาะจงสั่งให้เจ้าหน้าที่ไปฆ่านายพัน คำกอง หรือเจาะจงสั่งให้ไปฆ่า ด.ช.คุณากร ศรีสุวรรณ หรือน้องอีซา หรือผู้เสียชีวิตคนอื่นๆ ในเหตุการณ์สลายการชุมนุม ซึ่งกรณีดังกล่าวเป็นการออกคำสั่งเพียงครั้งเดียวแต่มีผู้เสียชีวิตหลายราย จึงเป็นความผิดเพียงกรรมเดียว” รองโฆษกฯ กล่าว
ส่วนกรณีฝ่ายค้านมองว่ามีการเมืองเข้ามาแทรกแซงการสั่งคดีของอัยการนั้น ยืนยันว่าการที่อัยการสูงสุดจะสั่งฟ้องหรือไม่ฟ้องนั้น จะต้องพิจารณาไปตามพยานหลักฐาน ไม่มองว่าเป็นคดีการเมืองหรือมองว่าเป็นฝ่ายไหน และก่อนหน้านี้นายอรรถพล ก็ได้เคยกล่าวไว้แล้วว่า หากสั่งคดีนี้ก็จะมีทั้งคนที่ชอบและเกลียด เพราะฝ่ายที่เสียผลประโยชน์ก็จะมองว่าอัยการไม่เป็นธรรม ทั้งนี้ อัยการสูงสุดที่สั่งไม่ฟ้อง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในคดีก่อการร้าย กับสั่งฟ้องนายอภิสิทธิ์และสุเทพนั้นเป็นอัยการสูงสุดคนละท่านกัน