รมว.ยธ.เห็นด้วยกับ อสส.ในการสั่งฟ้อง “มาร์ค-เทือก” ฐานก่อให้ผู้อื่นฆ่ากันตายโดยเจตนาเล็งเห็นผลกรณีสลายการชุมนุมปี 53 แย้งดีเอสไอสั่งฟ้องเป็นรายคดี ชี้ถือเป็นกรรมเดียวคือการออกคำสั่งประกาศ ศอฉ. ไม่ใช่ต่างกรรมต่างวาระ
วันนี้ (19 ต.ค.) ที่กรมคุมประพฤติ เมื่อเวลา 14.00 น. นายชัยเกษม นิติสิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม (ยธ.) กล่าวถึงกรณีนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ที่มีความเห็นแย้ง ภายหลังที่อัยการสูงสุดสั่งฟ้องนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ในฐานะ ผอ.ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ฐานก่อให้ผู้อื่นฆ่ากันตายโดยเจตนาเล็งเห็นผล ว่าควรแยกสำนวนคดีสั่งฟ้องนาย ทั้งข้อหาฆ่าคนตาย และข้อหาพยายามฆ่า เป็นรายคดีไป เว้นแต่กรณีที่เหตุการณ์เกิดในเวลาและสถานที่เดียวกัน จึงจะรวมสำนวนเป็น 1 คดี โดยเฉพาะคดีพยายามฆ่าซึ่งมีผู้เสียหายกว่า 1,000 ราย จะต้องเคารพในสิทธิของผู้เสียหายที่ได้มาร้องทุกข์เป็นรายคดี กรณีที่มีผู้เสียชีวิตจำนวน 98 ศพ และผู้บาดเจ็บนับ 1,000 คน จากเหตุการณ์ขอคืนพื้นที่การชุมนุมกลุ่ม นปช.ระหว่างวันที่ 7 เม.ย. ถึง 19 พ.ค. 2553
นายชัยเกษมกล่าวว่า ตนเองยังไม่ได้เห็นเนื้อหาสำนวนที่ดีเอสไอ ส่งฟ้องไป ซึ่งการสั่งคดีต้องดูจากสำนวนเหตุการณ์และบุคคลภายนอก โดยตนเองมองว่าที่อัยการสูงสุด (อสส.) สั่งฟ้องเนื่องจากการที่นายอภิสิทธิ์และนายสุเทพลงนามในคำสั่งประกาศของ ศอฉ. ให้ยึดพื้นที่คืนจากกลุ่มผู้ชุมนุม เพราะฉะนั้น การที่ให้ยึดคืนพื้นที่จากผู้ชุมนุมโดยใช้กระสุนจริงได้ จึงเป็นไปตามข้อกล่าวหาของกรมสอบสวนคดีพิเศษ ดีเอสไอได้กล่าวหาว่าจ้องเล็งเหตุผลได้ว่าถ้ามีคนเอาไปใช้ย่อมมีคนตายเกิดขึ้น แต่การลงนามในประกาศของ ศอฉ.นั้นทำเพียงครั้งเดียว
“แต่ผลมันเกิดต่อเนื่องหลายคดี ถ้าเราดูว่าการลงนามในประกาศนี้คือการเจตนาเล็งเห็นผลว่าจะเกิดการตายเกิดขึ้น การที่ไปเกิดที่หลังก็เรื่องของผลที่เกิดขึ้นต่อเนื่องมา เพราะฉะนั้นการที่สั่งไปในกรรมเดียวหรือคดีเดียวนั้นถูกต้องแล้ว” รมว.ยุติธรรมกล่าว
นาชัยเกษมกล่าวต่อไปว่า ตนทราบมาว่าที่ผ่านมาดีเอสไอมีคดีค้างเก่าเป็นจำนวนมาก เพราะว่าดีเอสไอแยกฟ้องเป็นรายคดีที่ทำให้มีคนตายเกิดขึ้น แต่ถ้ามองในแง่ที่ว่าการกระทำดังกล่าวเกิดเหตุอย่างนี้ขึ้น จึงเป็นกรรมเดียวคือการออกคำสั่งประกาศ ศอฉ.นั่นเอง