กรุงไทยขานรับเสริมสภาพคล่อง “สหฟาร์ม” เดินหน้ากิจการต่อไปได้

กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพเป็นตัวกลางไกล่เกลี่ยหนี้เกษตรกร ระหว่างเจ้าสัว บ.สหฟาร์ม กับธนาคารกรุงไทย โดยแบงก์ขานรับสนับสนุนการเงินช่วยสภาพคล่องเพื่อให้กิจการเดินหน้าต่อไปได้ เหตุไม่มีปัญหาการทุจริต

วันนี้ (25 ก.ย.) ที่กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม นายวิรัตน์ กัลยาศิริ รองประธานกรรมาธิการการกฏหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร เป็นประธานหารือไกล่เกลี่ยระงับข้อพิพาทที่เกิดขึ้นระหว่างบริษัท สหฟาร์ม จำกัด กับตัวแทนลูกหนี้เกษตรในระบบเกษตรพันธสัญญา โดยมีนายเกิดโชค เกษมวงศ์จิตร ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านส่งเสริมการระงับข้อพิพาท กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ นายปัญญา โชติเทวัญ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท สหฟาร์ม จำกัด และนางมนูญศรี โชติเทวัญ ประธานคณะบริหารกลุ่มบริษัท สหฟาร์ม จำกัด รวมทั้งผู้บริหารของธนาคารกรุงไทย ร่วมกันเจรจาเพื่อหาแนวทางไกล่เกลี่ยและแก้ไขปัญหาหนี้ที่บริษัท สหฟาร์มติดค้างเกษตรกรไว้ รวมทั้งปัญหาอื่นๆ เพื่อให้บริษัทสามารถดำเนินกิจการต่อไปได้

นายวิรัตน์ กัลยาศิริ รองประธานกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่า ทางธนาคารกรุงไทย ยืนยันว่าบริษัท สหฟาร์มไม่มีปัญหาการทุจริต จึงยินดีที่จะเมามาเป็นคนกลางช่วยเหลือสนับสนุนทางด้านการเงินเพื่อให้บริษัท สหฟาร์มเดินหน้ากิจการไป ทั้งนี้ ปัญหาสภาพคล่องของบริษัทฯ เริ่มต้นจากปัจจัยภายนอกเมื่อปีที่ผ่านมาการปลูกข้าวโพดในสหรัฐฯ ได้รับผลกระทบเสียหายจากภาวะโลกร้อน จึงดึงราคาอาหารสัตว์สูงขึ้น ทำให้ต้นทุนการผลิตของบริษัทเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย

นายวิรัตน์กล่าวว่า หากทุกฝ่ายช่วยเหลือแก้ปัญหาให้บริษัท สหฟาร์มดำเนินธุรกิจนี้ต่อไปได้ จะเท่ากับเป็นช่วยเหลือเกษตรกรปลูกข้าวโพดประมาณเกือบล้านครอบครัวด้วย เพราะยอดการปลูกข้าวโพดจำหน่ายในประเทศไทยปีละ 4 ล้านตันนั้น บริษัท สหฟาร์มรับซื้อประมาณปีละ 1 ล้านตัน หรือคิดเป็นจำนวน 25-30 เปอร์เซ็นต์ของข้าวโพดทั้งประเทศที่ปลูกขาย ซึ่งหากยอดการซื้อข้าวโพดของบริษัท สหฟาร์มหายไปย่อมจะทำให้ราคาข้าวโพดดิ่งลงไปด้วย

รองประธานกรรมาธิการการกฎหมาย สภาฯ กล่าวอีกว่า สำหรับแนวทางขั้นตอนการดำเนินการแก้ปัญหานั้น ทางบริษัท สหฟาร์มจะเจรจากับทางธนาคารกรุงไทย เพื่อขออนุมัติวงเงินที่ต้องการ หากทางธนาคารกรุงไทยเห็นชอบอนุมัติตามที่ขอแล้ว ทางบริษัท สหฟาร์มจะได้เดินหน้าดำเนินการธุรกิจต่อไป ส่วนวิธีการแก้ไขปัญหาให้กับเกษตรกรที่บริษัทติดค้างหนี้นั้น ก็คงต้องให้บริษัทออกเป็นตราสารหนี้และเป็นผู้ค้ำประกัน หลังจากนั้นกองทุนวายุภักดิ์ก็จะจ่ายเงินให้กับเกษตรกรทุกคนโดยตรง

ทั้งนี้ นอกจากการดำเนินการดังกล่าวแล้วในส่วนของกรรมาธิการการกฎหมาย สภาผู้แทนฯ จะเดินหน้าให้การช่วยเหลือต่อโดยตนเองและคณะกรรมาธิการฯ จะเดินทางลงพื้นที่ จ.ชัยภูมิ พบเกษตรกรเพื่อพูดคุยรายละเอียดแก้ไขปัญหาเพิ่มเติม และต้นเดือนหน้านี้ ทางคณะกรรมาธิการกฎหมายฯ จะเชิญนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง รวมทั้งรัฐมนตรีอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนกรรมการบริหารของธนาคารกรุงไทยด้วย เพื่อมาหารือแนวทางแก้ปัญหาที่ยั่งยืนต่อไป