ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้น “ยกฟ้อง” ตำรวจมะเขือเทศอุกอาจยิงจรวดอาร์พีจีใส่กระทรวงกลาโหม ช่วงสถานการณ์ความวุ่นวายปี 53 หลังศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุก 38 ปี
เมื่อวันที่ 9 ส.ค. เวลา 09.30 น. ที่ห้องพิจารณาคดี 803 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ คดีหมายเลขดำ อ.2317/2553 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 1 เป็นโจทก์ฟ้อง ส.ต.ต.บัณฑิต สิทธิทุม อายุ 44 ปี อดีตตำรวจ สภ.วังน้ำเย็น จ.สระแก้ว เป็นจำเลยในความผิดฐานร่วมกันกระทำผิดฐานก่อการร้าย, ร่วมกันกระทำให้เกิดระเบิดเป็นอันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์สินผู้อื่น, ร่วมกันพยายามทำร้ายร่างกายจนเป็นให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจ, ร่วมกันทำให้เสียทรัพย์, ร่วมกันยิงปืนโดยใช้ดินระเบิดในที่ชุมนุม, ร่วมกันมีเครื่องยิงระเบิดไว้ในครอบครอง ซึ่งนายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตได้, ร่วมกันมีอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน และวัตถุระเบิดไว้ในครอบครอง ซึ่งนายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตได้, ร่วมกันใช้เอกสารราชการปลอมตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 135/1,221, 222, 258, 265, 295, 358, 371, 376 ประกอบมาตรา 80 และ 83 และพาอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน และวัตถุระเบิดไปในเมือง ทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควร ตามความผิด พ.ร.บ.อาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืน พ.ศ. 2490
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 20 มี.ค. 53 จำเลยกับพวกอีก 1 คน ร่วมกันใช้เครื่องยิงจรวดอาร์พีจี 2 เล็งและยิงลูกระเบิดไปยังอาคารกระทรวงกลาโหม เขตพระนคร ทำให้นายศักดิ์ หาญสงคราม ได้รับบาดเจ็บ นอกจากนี้ สายเคเบิลโทรศัพท์ของบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) เสียหายเป็นเงินจำนวน 39,421 บาท จำเลยกับพวกมีความมุ่งหมายเพื่อขู่เข็ญ บังคับ รัฐบาลไทยให้ยุบสภา ทั้งยังสร้างความปั่นป่วนให้เกิดความหวาดกลัวในหมู่ประชาชน การกระทำของจำเลยกับพวกดังกล่าวเป็นการสนับสนุนช่วยเหลือการก่อการร้ายของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) จำเลยมีเครื่องยิงจรวดอาร์พีจี 2 จำนวน 1 กระบอก ลูกระเบิดแบบสังหาร เอ็ม 67 จำนวน 3 ลูก ปืนกลมือ (เอ็ม 3) ขนาด .45 จำนวน 1 กระบอก และกระสุนปืน .45 จำนวน 48 นัดเหตุเกิดที่แขวงศาลเจ้าพ่อเสือ แขวงพระบรมมหาราชวัง แขวงพระนคร เขตพระนคร แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน แขวงวัดเทพศิรินทร์ เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กทม. เกี่ยวพันกัน
คดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา เมื่อวันที่ 13 ธ.ค. 2554 ว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรม รวมจำคุกทั้งสิ้น 38 ปีและให้ริบของกลาง ต่อมาจำเลยยื่นอุทธรณ์ต่อสู้คดี
ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนปรึกษาหารือแล้วเห็นว่า คดีนี้พยานโจทก์หลายปาก ซึ่งเห็นคนร้ายในช่วงเวลาต่างกัน เบิกความถึงสาระสำคัญตำแหน่งที่นั่งของคนร้ายไม่ตรงกัน พยานบางรายระบุเห็นจำเลยเป็นคนขับ แต่พยานบางรายระบุว่าจำเลยนั่งข้างคนขับ และพยานบางคนระบุว่าจำเลยใส่หมวกแก๊ป ขณะที่พยานบางคนบอกว่าไม่ได้ใส่หมวก ซึ่งขัดแย้งกับที่เคยให้การไว้ในชั้นสอบสวน จึงยังไม่แน่ใจใช่จำเลยหรือไม่ ที่นั่งอยู่ในรถคันดังกล่าว อีกทั้งขณะเกิดเหตุเป็นช่วงเวลากลางคืนแสงไฟมีน้อย นอกจากนี้แม้ว่าผลตรวจลายนิ้วมือแฝงจะพบว่ามีสารพันธุกรรมจำเลยปะปนอยู่ แต่ก็มีของบุคคลอื่นรวมอยู่ด้วย อุทธรณ์ของจำเลยฟังขึ้น จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้กับจำเลย ที่ศาลชั้นต้นพิพากษามานั้นศาลอุทธรณ์ไม่เห็นพ้องด้วย พิพากษากลับให้ยกฟ้อง แต่ให้ขังจำเลยไว้ระหว่างฎีกา และให้ริบของกลาง
ทั้งนี้ ภายหลังศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง เจ้าตัวถึงกับหลั่งน้ำตา ขณะที่วันนี้ไม่มีญาติหรือแกนนำ นปช.มาร่วมฟังคำพิพากษาด้วยแต่อย่างใด
ขณะที่ ส.ต.ต.บัณฑิต สิทธิทุม จำเลย ซึ่งถูกเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ควบคุมตัวเพื่อจะไปคุมขังต่อที่เรือนจำ ระบุว่าดีใจมาก รอคอยวันนี้มานาน และเห็นว่าความยุติธรรมยังมีอยู่จริง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยกระทำผิดหลายกรรมต่างกัน จึงพิพากษาจำคุก รวม 38 ปี สำหรับ ส.ต.ต.บัณฑิตนั้นถูกจับกุมพร้อมกับนายศุภนัส หรือโก้ หุยเวช ได้ที่พนักงานอัยการได้สั่งไม่ฟ้องไปแล้วก่อนหน้านี้ถูกดีเอสไอจับกุมดำเนินคดีจนถึงชั้นพิจารณาของศาลตามกระบวนการยุติธรรม