xs
xsm
sm
md
lg

พระสงฆ์แห่ยื่นหลักฐานเอาผิด “เณรคำ” โกงเงินบริจาค-ทองคำ

เผยแพร่:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม


พระสงฆ์ 40 รูป แห่มอบหลักฐานให้พนักงานสอบสวนกองปราบปราม เร่งดำเนินคดีกับ “พระเณรคำ” ยันมีขบวนการฉ้อโกงเงินบริจาค-ทองคำใช้สร้างพระแก้วมรกต 9,000 กิโลกรัม


วันนี้ (12 ก.ค.) เมื่อเวลา 13.00 น. นายสงกรานต์ อัจฉริยะทรัพย์ ประธานเครือข่ายต่อต้านการบ่อนทำลายชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ได้พา พระธีรธนัชณฤทธา เสาวภาคโชติรส อายุ 46 ปี ประธานสำนักปฏิบัติธรรมพุทธชยันตี ตั้งอยู่ในพื้นที่แขวงศาลาธรรมสพน์ เขตทวีวัฒนา กทม.พร้อมพระสงฆ์ 40 รูป เดินทางเข้าพบ พ.ต.อ.ประสพโชค พร้อมมูล รอง ผบก.ป. พ.ต.ท.เอกพงษ์ พลมณี รอง ผกก.3บก.ป.เพื่อมอบหลักฐานเพิ่มเติมต่อพนักงานสอบสวน ในการพิจารณาดำเนินคดีกับ “เณรคำ ฉัตติโก” หรือ พระวิรพล สุขผล อายุ 34 ปี ประธานสำนักสงฆ์ขันติธรรม จ.ศรีสะเกษ

นายสงกรานต์ กล่าวว่า ตามที่ตนได้เปิดรับข้อมูลต่างๆ จากทั้งพระภิกษุ และประชาชนทั่วไปที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับหลวงปู่เณรคำ ได้มีผู้เสียหายซึ่งเป็นผู้ใกล้ชิดกับ “เณรคำ” นำส่งเอกสารต่างๆ มาให้ตนเพื่อใช้เป็นหลักฐานเอาผิด โดยตนตรวจสอบเบื้องต้นพบว่ามีมูลที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินคดีในความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนได้ ในวันเดียวกันนี้ตนจึงนำมามอบให้พนักงานสอบสวน บก.ป.เรื่องนี้จึงยืนยันว่ามีการกระทำเป็นขบวนการ เช่น ทองคำที่ใช้ในการทำเครื่องทรงพระแก้วมรกต 3 ฤดูกาลๆ ละ 3,000 กิโลกรัม รวมเป็นน้ำหนักทองคำ 9,000 กิโลกรัม นอกจากนี้ยังมีการใช้ชื่อวัดป่าขันติธรรม ทั้งที่ทราบดีอยู่แล้วว่ายังไม่ได้ขออนุญาตจดทะเบียนเป็นวัด รวมทั้งการใช้ชื่อมูลนิธิส่งเสริมคุณธรรม เปิดรับบริจาคจากพุทธศาสนิกชน

นายสงกรานต์ กล่าวต่อว่า จากการตรวจสอบเอกสารแผ่นพับที่ตนได้รับมาเป็นการเปิดรับบริจาคเงินร่วมสร้างตึกสงฆ์อาพาธและผู้ป่วยใน รพ.ร้อยเอ็ด เมื่อปี 2554 ซึ่งมีการระบุถึงยอดเงินบริจาคตั้งแต่ 100,000 บาทขึ้นไป จะมีการขอพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี โดยผู้ที่บริจาคเงิน 100,000 บาทขึ้นไป ได้รับเหรียญเงินดิเรกคุณาภรณ์, 200,000 บาทขึ้นไป ได้รับเหรียญทองดิเรกคุณาภรณ์, 500,000 บาทขึ้นไป ได้เบญจมดิเรกคุณาภรณ์, 1,500,000 บาทขึ้นไป ได้จตุตถดิเรกคุณาภรณ์, 6,000,000 บาทขึ้นไป ได้ตติยดิเรกคุณาภรณ์, 14,000,000 บาทขึ้นไป ได้ทุติยดิเรกคุณาภรณ์ และ 30,000,000 บาทขึ้นไป ได้ปฐมดิเรกคุณาภรณ์

นายสงกรานต์ กล่าวอีกว่า สำหรับอีกกรณีที่ตนได้รับข้อมูลมาด้วย คือ การจัดสร้าง “เทวดารุ่นเณรคำ” ราคาเช่าองค์ละ 10,000 บาท จัดสร้างทั้งหมด 10,000 องค์ มีลายเซ็นของหลวงปู่เณรคำ โดยมีเอกสารใบประกาศและใบจอง รวมทั้งมีการออกใบเสร็จรับเงิน และใบอนุโมทนาบัตรในนามวัดป่าขันติธรรม โดยตนจะตรวจสอบเรื่องร้องเรียนต่างๆ เหล่านี้ต่อไป ทั้งนี้ เชื่อว่าน่าจะยังมีอีกหลายเรื่อง ที่ทำในนามของวัดป่าขันติธรรม ซึ่งเป็นการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ และในวันเดียวกันนี้ ทางผู้เสียหายรายใหญ่ที่เป็นผู้ใกล้ชิดกับ “เณรคำ” จะทยอยเดินทางเข้าให้ข้อมูลกับพนักงานสอบสวน

“สำหรับผู้เสียหายรายใหญ่ที่ติดต่อผ่านมาที่ผม และนำเอกสารหลักฐานต่างๆ มาให้นั้น ได้ให้ข้อมูลในเบื้องต้นว่า เหตุที่หลงเชื่อ “เณรคำ” เป็นเพราะเข้าใจว่าวัดป่าขันติธรรม ได้จดทะเบียนเป็นวัดอย่างถูกต้องตามกฎหมายแล้ว และได้บริจาคเงินโดยสุจริตใจ แต่กลับมาทราบภายหลังว่าทางหลวงปู่เณรคำ ไม่ได้นำเงินไปใช้ตามวัตถุประสงค์ในการสร้างพระแก้วมรกต เพียงอย่างเดียว โดยชั้นล่างมีการสร้างห้องทำงานตรงบริเวณฐานชุกชี เหมือนเป็นอาคารที่มีองค์พระครอบอยู่” นายสงกรานต์ กล่าว

นายสงกรานต์ กล่าวด้วยว่า ในส่วนของพระธีรธนัชณฤทธา ประธานสำนักปฏิบัติธรรมพุทธชยันตี และพระสงฆ์ 40 รูป ที่มาร่วมแถลงข่าวในครั้งนี้ ได้นำเอกสารหลักฐานเพิ่มเติมกรณีที่ถูก “เณรคำ” หลอกลวงว่าจะหาเงินจำนวน 55 ล้านบาท มาจัดซื้อที่ดินเพื่อสร้างวัดพุทธชยันตี ให้ และเป็นการแสดงออกเพื่อปกป้องพระพุทธศาสนา ส่วนผลกระทบที่เกิดขึ้นแล้วหลังจากทางพระธีรธนัชณฤทธา ได้วางเงินมัดจำ 5 แสนบาท กับทางธนาคาร เพื่อทำสัญญาซื้อที่ดินในการสร้างวัดดังกล่าว และกำลังจะถูกไล่ที่เพราะไม่ได้นำเงินมาจ่ายในส่วนที่เหลือภายใน 2 เดือนตามสัญญา โดยมีหนังสือจากทางเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินแจ้งมาแล้ว

ขณะที่ พระธีรธนัชณฤทธา กล่าวว่า อาตมาต้องขอพึ่งทางตำรวจ บก.ป.และขอให้ทำคดีให้ถึงที่สุด ส่วนกรณีความเสียหายที่เกิดกับสำนักปฏิบัติธรรมพุทธชยันตี นั้น ขณะนี้ก็กำลังจะถูกไล่ที่แล้วเพราะไม่ได้นำเงินส่วนที่เหลือมาจ่ายตามสัญญา

ด้าน พ.ต.อ.ประสพโชค กล่าวว่า ทางพนักงานสอบสวนยืนยันว่า จะสืบสวนสอบสวนในกรณีการร้องเรียนดังกล่าวต่อไป โดยจะบูรณาการการทำงานร่วมกับหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง และอยากฝากให้ผู้เสียหายที่เคยถูก “หลวงปู่เณรคำ” หลอกลวง หรือเคยบริจาคเงินให้กับสำนักสงฆ์ขันติธรรม เข้าให้ข้อมูลกับพนักงานสอบสวนเพื่อรวบรวมเป็นหลักฐานในการพิจารณาออกหมายจับ “เณรคำ” ในความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน และความผิดอื่น ซึ่งข้อมูลและผู้แจ้งนั้น ทางเราจะปกปิดเป็นความลับ ส่วนกรณีที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) รับเรื่องนี้เป็นคดีพิเศษนั้น เท่าที่ทราบเป็นเพียงกรณีความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ แต่ในส่วนอื่นๆ ยังไม่มีการพิจารณา อย่างไรก็ตาม หากที่สุดแล้วทางดีเอสไอ จะรับเรื่องนี้ไว้ดำเนินการเองทั้งหมด ทางพนักงานสอบสวนก็พร้อมให้ความร่วมมือโอนสำนวนคดีไปให้ดีเอสไอ แต่ยืนยันว่าทางพนักงานสอบสวนยังคงเดินหน้ารวบรวมพยานหลักฐานต่างๆ ต่อไป อย่างรอบคอบรัดกุมที่สุด ก่อนจะพิจารณาขออนุมัติศาลออกหมายจับ “หลวงปู่เณรคำ” ต่อไป

ส่วน พ.ต.ท.เอกพงษ์ กล่าวว่า ในวันเดียวกันนี้ พนักงานสอบสวน กก.3 บก.ป.จะเดินทางไปสอบปากคำหญิงสาวที่อ้างว่ามีเพศสัมพันธ์กับ “หลวงปู่เณรคำ” ตั้งแต่อายุ 14 ปี หลังจากก่อนหน้านี้ได้เดินทางไปเพื่อจะสอบปากคำมาแล้วครั้งหนึ่งแต่ไม่พบตัว นอกจากนี้ก็จะให้พนักงานสอบสวนเข้าพบเจ้าคณะจังหวัด กรณีการปลด “เณรคำ” ออกจากสังกัด ซึ่งจะขาดจากสภาพความเป็นพระสงฆ์ เพราะไม่มีสังกัด

พ.ต.ท.เอกพงษ์ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ก็จะมีการตรวจสอบกรณีของพลอย ที่พบจากการเข้าตรวจค้นบ้านพักที่ จ.อุบลราชธานี ซึ่งขณะนี้มีผู้เสียหายที่เป็นผู้ค้าพลอย ในพื้นที่ อ.แม่สอด จ.เชียงราย 3-4 ราย ที่ทราบข่าว ประสงค์จะเดินทางเข้าแจ้งความที่ บก.ป.แล้ว หลังจากถูกหลวงปู่เณรคำ หลอกลวงซื้อพลอยดังกล่าวไป แต่ยังไม่ได้รับเงิน รวมมูลค่าประมาณ 20 ล้านบาท โดยส่วนนี้ได้มอบหมายพนักงานสอบสวนไปรับพลอยทั้งหมดกลับมาที่ บก.ป.เพื่อให้ผู้เสียหายได้ตรวจสอบว่าส่วนไหนมีใครเป็นเจ้าของบ้าง

วันเดียวกัน นายสุขุม วงประสิทธิ ประธานเครือข่ายบ้านวิมุตติธรรม ได้ไปยื่นหนังสือขอความเป็นธรรม ให้พิสูจน์ภาพปริศนาและการตรวจดีเอ็นเอ เพื่อใช้ในการพิจารณาขับ “หลวงปู่เณรคำ” ต่อสมเด็จพระญาณสังวรสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก โดยมีพระสุทธิสาระเมธี ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศ เป็นตัวแทนรับมอบหนังสือดังกล่าว

นายสุขุม กล่าวว่า มาวันนี้เพื่อขอให้การพิจารณาของคณะสงฆ์ยึดหลักธรรมวินัยของสงฆ์อย่างเคร่งครัดและขอความเป็นธรรม ขณะนี้ตนเองมีหลักฐานที่สำคัญว่า บุคคลในรูปภาพที่มีรูปร่างคล้ายหลวงปู่เณรคำ คือ อดีตพระสุริ ซึ่งเป็นน้องชายของหลวงปู่เณรคำเอง และทางเจ้าคณะจังหวัดอุบลราชธานีได้แนะนำให้คุณสุริ ออกมายอมรับและรับผิดกับประชาชน เพื่อไม่ให้หลวงปู่เณรคำต้องเดือดร้อน ส่วนในกรณีที่มีการประชุมให้ขับหลวงปู่เณรคำออกจากสังกัดนั้น ถ้ามีการขับออกจากสังกัดจริง ตนก็บอกได้ว่าเวลานี้ท่านมีสังกัดแล้วมีการเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว เป็นวัดในต่างประเทศ

“สำหรับกรณีสีกากับลูกแจ้งความเอาผิดเณรคำ ในข้อหาข่มขืนกระทำชำเราโดยทำการฟ้องเองนั้น คิดว่าทางอัยการอาจจะไม่สั่งฟ้องก็ได้ เพราะไม่มีหลักฐานอะไรที่ชัดเจนน่าเชื่อถือเลย เพราะตามหลักสากลถึงจะยืนยันว่าเป็นพ่อลูกกัน การตรวจพิสูจน์ดีเอ็นเอ ต้องตรวจจากพ่อแม่เท่านั้นไม่ใช่ตรวจจากตัวปู่หรือย่า ส่วนเหตุผลที่หลวงปู่เณรคำยังไม่เดินทางกลับในขณะนี้ เพราะรอดูกระบวนการยุติธรรม


กำลังโหลดความคิดเห็น