นักวิทยาศาสตร์วิเคราะห์พันธุกรรมแจ้ง ป.ดำเนินคดี 4 เจ้าหน้าที่ห้องแล็บปลอมแปลงเอกสาร ทำลายทรัพย์บริษัท เชื่อมีการกลั่นแกล้งเป็นขบวนการ เชื่อนักธุรกิจ อ.ท่าม่วง อยู่เบื้องหลัง หลังมีข้อพิพาทเรื่องการคุ้มครองผู้บริโภค
วันนี้ (25 มิ.ย.) ที่ กองปราบปราม รศ.ดร.คล้ายอัปสร พงศ์รพีพร อายุ 63 ปี ผู้ก่อตั้งและสร้างสรรค์นวัตกรรม บริษัท ฮาร์ท เจเนติกส์ จำกัด พร้อมด้วยนักวิทยาศาสตร์ ที่เป็นพนักงานของบริษัท เดินทางเข้าพบ พ.ต.อ.ประสพโชค พร้อมมูล รอง ผบก.ป.เพื่อแจ้งความดำเนินคดีกับอดีตพนักงานประจำห้องปฏิบัติการ (แล็บ) วิเคราะห์ระดับพันธุกรรม รวม 4 ราย ในความผิดฐานปลอมแปลงเอกสาร และทำลายทรัพย์สินจนเกิดความเสียหายแก่บริษัท โดยนำเอกสารรายงานผลการตรวจสุขภาพของลูกค้าและเอกสารต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งสารเคมีและอุปกรณ์ที่ใช้ในการปฏิบัติงานในห้องแล็บ จำนวนมาก มอบไว้เป็นหลักฐานประกอบการพิจารณาดำเนินคดี
รศ.ดร.คล้ายอัปสร กล่าวว่า ได้ก่อตั้งบริษัทดังกล่าวขึ้นเมื่อปี 2549 ซึ่งเป็นแห่งแรกในประเทศไทย ที่มีการตรวจพันธุกรรม หรือดีเอ็นเอ เพื่อทำนายอนาคตทางสุขภาพอย่างครบวงจร รวมทั้งโรคร้ายต่างๆ อาทิ โรคมะเร็ง โรคหัวใจ ฯลฯ และเป็นผู้พัฒนาเทคโนโลยีการตรวจสุขภาพระดับยีน โดยนำเทคนิคการสกัดดีเอ็นเอจากเลือด หรือ “พลาสม่าดีเอ็นเอ” สามารถระบุการเกิดโรคอย่างแม่นยำ เป็นเจ้าแรกของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และได้รับการคัดเลือกเป็น 1 ใน 10 สุดยอดธุรกิจนวัตกรรมประจำปี 2550 ของสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติในรูปแบบธุรกิจ"DNA Business"และได้รับคัดเลือกให้เป็น "The Most Interesting Technology for Investment Award" จาก สวทช.กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เมื่อวันที่ 20 กันยายน 2554 อีกด้วย ทำให้ลูกค้าที่รับบริการสามารถวางแผนการดูแลสุขภาพได้ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการขอจดสิทธิบัตรในประเทศไทย
รศ.ดร.คล้ายอัปสร กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมา ทางบริษัทรับลูกค้าที่ต้องตรวจสุขภาพด้วยวิธีดังกล่าวเดือนละประมาณ 5-10 ราย คิดค่าบริการตามแต่การตรวจสอบว่าลงลึกไปในระดับใด หากเป็นการตรวจพลาสม่าดีเอ็นเอ ก็จะค่าใช้จ่ายสูง โดยเฉลี่ยค่าบริการอยู่ที่ 4.5-7.5 หมื่นบาท แต่การดำเนินธุรกิจกลับมีผู้ที่เจตนามุ่งร้าย โดยปลอมแปลงเอกสารรายงานผลทำให้ผลตรวจคลาดเคลื่อน รวมทั้งมีการปนเปื้อนสารเคมีที่สำคัญส่งผลให้ตรวจเกิดความผิดพลาด สร้างความเสียหายเป็นมูลค่า 3-5 ล้านบาท
รศ.ดร.คล้ายอัปสร กล่าวอีกว่า การกระทำที่มีเจตนาทำให้ผลตรวจมีความผิดพลาด รวมทั้งการใส่สิ่งปนเปื้อนในสารเคมีเหล่านี้มีการกระทำเป็นขบวนการ ซึ่งตนสงสัยพนักงานที่ได้ว่าจ้างมาทำงานก่อนหน้านี้แล้ว แต่ยังไม่มีหลักฐานชัดเจน กระทั่งพบความเสียหายเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนพนักงานที่ทำงานในห้องปฏิบัติการร่วมกับตนต้องคอยแก้ไขปัญหากันตลอดเวลาไม่ได้หยุดหย่อน ตนต้องทำงานทุกวันไม่มีวันหยุด เพื่อแก้ปัญหาต่างๆ จนที่สุดจึงทนไม่ไหว เมื่อพบข้อมูลเพียงพอจึงต้องแจ้งความดำเนินคดี
“ดิฉัน ระแคะระคายกับพนักงาน 4 คน ที่ว่าจ้างให้มาทำงาน ซึ่งเพิ่งลาออกไปเมื่อเดือนพฤษภาคม 2555 แต่ยังไม่มีหลักฐานชัดเจน และที่ห้องแล็บของบริษัท ก็ไม่ได้ติดตั้งกล้องวงจรปิดด้วย โดยผลเสียหายนอกจากจะเกิดขึ้นกับบริษัทแล้ว ยังเป็นผลต่อความน่าเชื่อถือของดิฉันที่ทำงานด้านนี้มาโดยตลอด ทั้งที่การตรวจพลาสม่าดีเอ็นเอ นั้น เป็นอนาคตที่จะทำรายได้อย่างมหาศาลให้กับประเทศไทย เพราะเป็นเรื่องของการตรวจพันธุกรรมที่ทำนายอนาคตของโรคที่ยังไม่มีรายใดทำได้ หากมีการเปิดประชาคมอาเซียน เราก็จะเป็นผู้นำในเรื่องนี้” รศ.ดร.คล้ายอัปสร กล่าว
รศ.ดร.คล้ายอัปสร กล่าวด้วยว่า นอกจากนี้ทางแล็บที่ตนดำเนินการนั้นถูกกลั่นแกล้งอย่างจงใจมาโดยตลอด ซึ่งน่าจะมีนักธุรกิจรายหนึ่งใน อ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี ที่อยู่เบื้องหลังเข้ามาเกี่ยวข้องในเรื่องนี้ด้วย เนื่องจากเขาได้กล่าวหาและร้องเรียนบริษัท ทำให้ตนต้องถูกฟ้องร้องทางคดีคุ้มครองผู้บริโภค นอกจากนี้มีการขโมยอุปกรณ์ เครื่องมือ ฐานข้อมูลงานวิจัย และเอกสารสำคัญ รวมทั้งการทำลายสารเคมีตามที่กล่าวไว้แล้ว จนส่งผลเสียหายอย่างมากมาย ซึ่งทั้งหมดไม่ใช่เหตุบังเอิญอย่างแน่นอน จึงอยากขอให้ทางตำรวจกองปราบปรามได้ตรวจสอบเหตุที่เกิดขึ้นทั้งหมด เพื่อพิจารณาดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิด อย่างไรก็ตามสิ่งที่สำคัญจากการดำเนินงานของแล็บแห่งนี้ไม่ใช่เพียงการพึ่งพาเทคโนโลยีของตนเองเท่านั้น แต่ยังเป็นผลประโยชน์ร่วมกันของสังคมและประเทศไทยอีกด้วย
ด้าน พ.ต.อ.ประสพโชค กล่าวว่า ได้รับเรื่องไว้ในเบื้องต้น โดยมอบหมายให้พนักงานสอบสวน กก.1 บก.ป.สอบปากคำผู้เสียหายไว้ ก่อนนำเรื่องเสนอผู้บังคับบัญชาพิจารณาสั่งการต่อไป
