ทนาย “สุรเดช” จำเลยคดีอ้มฆ่าอัลรูไวลี นักธุรกิจชาวซาอุฯ นำเจ้าหน้าที่ ตม.เบิกความยัน “สุวิชชัย” เปลี่ยนชื่อในพาสปอร์ต เพื่อออกนอกประเทศ ปลายเดือน ธ.ค.ปี 55 ขณะที่ศาลไฟเขียวให้ “สมคิด-สุรเดช” ยื่นคำเบิกความเป็นเอกสารได้ พร้อมนัดฟังคำสั่งถอนประกันหรือไม่ 1 พ.ค.นี้ ด้าน “สมคิด” ชี้ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับพยานหลักฐาน รวมทั้งไม่ได้ขู่ “สุวิชชัย” ตามที่ “ธาริต” ยื่นคำร้องต่อศาล
ที่ห้องพิจารณา 907 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก เมื่อเวลา 13.30 น.วันนี้ (19 เม.ย.) ศาลนัดไต่สวนพยานจำเลย คดีดำ อ.199/2553 ที่นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ ยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนการปล่อยชั่วคราว พล.ต.ท.สมคิด บุญถนอม อดีตจเรตำรวจ และ พ.ต.ท.สุรเดช อุดมดี จำเลยที่ 1 และ 4 ในคดีร่วมกับพวกอุ้มฆ่านายโมฮัมหมัด อัลรูไวลี นักธุรกิจชาวซาอุดีอาระเบีย
โดยวันนี้ทนายความจำเลยที่ 4 ได้นำ ส.ต.อ.ลือชัย บรรจง เจ้าหน้าที่ตำรวจ ตม. ประจำด่านขาออก ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เบิกความว่า เมื่อวันที่ 21 ธ.ค. 2555 ได้ตรวจหนังสือเดินทางของ พ.ต.ท.สุวิชชัย แก้วผลึก พบว่าได้เปลี่ยนชื่อเป็น นายเกียรติกรณ์ แก้วเพชรสี จากนั้นเมื่อบันทึกข้อมูลส่วนบุคคลในระบบคอมพิวเตอร์ ก็พบว่า เป็นบุคคลมีหมายจับของศาล จึงแจ้งให้ผู้บังคับบัญชาทราบและตรวจสอบตามขั้นตอน ทั้งนี้วันดังกล่าว พ.ต.ท.สุวิชชัย ก็ไม่สามารถเดินทางออกนอกประเทศได้ ส่วนจะเดินทางไปเมื่อไหร่นั้นตนไม่ทราบ
จากนั้น พล.ต.ท.สมคิด บุญถนอม จำเลยที่ 1 และ พ.ต.ท.สุรเดช อุดมดี จำเลยที่ 4 ได้แถลงต่อศาลขอยื่นคำเบิกความเป็นลายลักษณ์อักษร ซึ่งศาลพิจารณาแล้วอนุญาต ทั้งนี้ฝ่ายจำเลยแถลงนำพยานเข้าเบิกความเพียง 3 ปาก และเสร็จสิ้นในวันนี้ อย่างไรก็ตามศาลจะใช้เวลาตรวจคำร้องและพยานเอกสารต่างๆ ให้รอบคอบและครบถ้วน เพื่อความเป็นธรรมของทั้งสองฝ่าย จึงนัดให้มาฟังคำสั่งอีกครั้ง ในวันที่ 1 พ.ค. 2556 เวลา 09.00 น.
ภายหลัง พล.ต.ท.สมคิด กล่าวว่า คำเบิกความตามเอกสารนั้น ได้ชี้แจงต่อศาล ใน 2 ประเด็น ประเด็นแรก เป็นหลักฐานที่ระบุว่า มีการพาตัว พ.ต.ท.สุวิชชัย ออกนอกประเทศโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพื่อให้พ้นเขตอำนาจศาล โดยมีหลักฐานว่าก่อนหน้านั้น พ.ต.ท.สุวิชชัย ยังหลบหนีอยู่ในประเทศไทย ซึ่งการยื่นคำร้องต่อศาล เพื่อส่งประเด็นไปสืบพยานที่ต่างประเทศนั้น กระบวนการดังกล่าวทำให้ฝ่ายจำเลยเสียเปรียบอย่างมาก เพราะเป็นการสืบพยานลับหลังจำเลย ทนายความจำเลย ก็ไม่สามารถซักค้าน พ.ต.ท.สุวิชชัย พยานดังกล่าวได้
ประเด็นที่สอง การตรวจสอบและเรียกข้อมูลจากหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องนั้น เป็นสิทธิที่จะกระทำได้ตามกฎหมาย รวมทั้งชี้ให้ศาลเห็นว่า ตนไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับพยานหลักฐาน รวมทั้งไม่ได้ข่มขู่ พ.ต.ท.สุวิชชัย ตามที่ นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอยื่นคำร้องต่อศาล และจะเห็นได้ว่า พ.ต.ท.สุวิชชัย เปลี่ยนชื่อ สกุล และที่อยู่ ตั้งแต่วันที่ 14 พ.ย. 2554 ซึ่งขณะนั้นศาลได้พิจารณาตัดพยานปากนี้ไปแล้ว ดังนั้นการเปลี่ยนชื่อของพยานดังกล่าว เชื่อว่า เพื่อจะหลบหนีหมายจับ ไม่ได้เป็นการเปลี่ยนชื่อ เพราะถูกข่มขู่ คุกคาม ตามที่กล่าวอ้างแต่อย่างใด