“ธาริต เพ็งดิษฐ์” อธิบดีดีเอสไอ ตอบคำซักค้านทนาย “สมคิด บุญถนอม” ปัดไม่รู้เรื่องแหวนพระจันทร์เสี้ยว ที่อ้างเป็นพยานหลักฐานใหม่ และเป็นแหวนประจำตัวของ “อัลรูไวลี” อีกทั้งระบุ “สุวิชชัย แก้วผลึก” เคยได้รับความคุ้มครองตั้งแต่สมัย “ทวี สอดส่อง” เป็นอธิบดีดีเอสไอ
ที่ห้องพิจารณาคดี 907 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก วันนี้ (1 เม.ย.) ศาลนัดไต่สวนคำร้องที่นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนการปล่อยชั่วคราว พล.ต.ท.สมคิด บุญถนอม อดีตจเรตำรวจแห่งชาติ และ พ.ต.ท.สุรเดช อุดมดี จำเลยที่ 1 และ 4 คดีเกี่ยวข้องกับการอุ้มฆ่านายโมฮัมหมัด อัลรูไวลี นักธุรกิจชาวซาอุดีอาระเบีย เนื่องจากจำเลยทั้งมีพฤติการณ์ข่มขู่พยาน
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 25 มี.ค.ที่ผ่านมา นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ ได้เบิกความครั้งแรก ยืนยันว่าจำเลยได้เข้าไปยุ่งเหยิง ข่มขู่พยานจนเสร็จเรียบร้อย แต่ยังไม่ได้ตอบการซักค้านของทนายความจำเลย เนื่องจากส่งเอกสารต่างๆ เกี่ยวกับคำเบิกความไม่ครบถ้วน ศาลจึงนัดให้นายธาริต มาไต่สวนต่อในวันนี้ (1 เม.ย.)
โดยนายธาริตเบิกความต่อสรุปว่า ในวันที่ 18 มี.ค. 2556 ได้พบกับตัวแทนประเทศซาอุดีอาระเบีย ซึ่งได้สอบถามตนว่าจำเลยที่ 1 มีอิทธิพลต่อศาลรัฐธรรมนูญหรือไม่ ซึ่งตนตอบว่าไม่มี แต่จะนำเสนอข้อมูลต่างๆ ดังกล่าวต่อศาลอาญา
จากนั้นนายธาริตจึงตอบคำถามซักค้านทนายจำเลยที่ 1 สรุปว่า ตนเข้ารับตำแหน่งอธิบดีดีเอสไอเมื่อปี 2552 ซึ่งตนไม่ทราบว่าเมื่อปี 2533 พนักงานสอบสวนกรมตำรวจ เคยตรวจสอบคดีนี้มาแล้ว ซึ่งคดีนี้ถูกโอนมาพร้อมกับอีก 2 คดี คือ คดีฆ่านักการทูตซาอุดีอาระเบีย และคดีโจรกรรมเพชรซาอุฯ ตั้งแต่ปี 2547 ขณะนั้นตนไม่ได้เป็นชุดสอบสอบสวนในช่วงต้น แต่เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องเมื่อตอนรับตำแหน่งอธิบดีดีเอสไอ จึงไม่ทราบว่าในขั้นตอนการสอบสวน พ.ต.ท.สุวิชชัย แก้วผลึก ในตอนนั้นจะมีการถ่ายวิดีโอไว้เป็นหลักฐานหรือไม่
เมื่อทนายความจำเลยที่ 1 ถามว่า ได้ทราบข้อมูลเกี่ยวกับพยานหลักฐานใหม่ คือแหวนทองคำพระจันทร์เสี้ยว ที่พบในถังน้ำมัน 200 ลิตรหรือไม่ นายธาริตตอบว่า ไม่ทราบเรื่องแหวนทองคำพระจันทร์เสี้ยว แต่ตนทราบว่าพยานหลักฐานใหม่คดีนี้ คือ คำให้การที่เป็นสาระสำคัญของ พ.ต.ท.สุวิชชัย แก้วผลึก และไม่ทราบว่ามีการส่งแหวนดังกล่าวให้ทางการซาอุฯ ตรวจสอบว่าเป็นแหวนของผู้ตายหรือไม่ ส่วนรายละเอียดการสอบปากคำของ พ.ต.ท.สุวิชชัยจะให้การอย่างไรตนยังไม่ทราบ จึงไม่ทราบว่าคำให้การของ พ.ต.ท.สุวิชชัยจะตรงกับที่เคยให้การไว้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือไม่
ส่วนเรื่องการคุ้มครองพยานนั้น นายธาริตเบิกความว่า พ.ต.ท.สุวิชชัยได้ยื่นหนังสือเพื่อขอความคุ้มครองเมื่อวันที่ 4 ก.ย. 2555 และดีเอสไอให้การคุ้มครอง แต่อาจจะไม่เป็นไปตามกฎหมายคุ้มครองพยานทั้งหมดก็ได้ โดยตนไม่ทราบว่า พ.ต.ท.สุวิชชัย เคยร้องขอให้ดีเอสไอคุ้มครองพยาน มาก่อนหน้านี้เป็นเวลานานเท่าไร รวมทั้งไม่ทราบเหตุผลที่ขอร้องให้ดีเอสไอคุ้มครอง ทราบเพียงว่า มีการให้การคุ้มครองพยาน พ.ต.ท.สุวิชชัย ตั้งแต่สมัย พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เป็นอธิบดีดีเอสไอแล้ว และไม่ทราบว่ามีการให้การคุ้มครองพยานด้วยวิธีใด นอกจากนี้ก็ไม่ทราบว่า พ.ต.ท.สุวิชชัย เป็นจำเลยหนีหมายศาลจังหวัดมีนบุรีที่มีคำพิพากษาให้จำคุกตลอดชีวิต และถึงแม้ว่าจะรู้ว่าพยานหนีหมาย แต่ก็ไม่สามารถส่งตัวให้ศาลจังหวัดมีนบุรีได้ เนื่องจากไม่มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย จึงไม่ได้สนใจว่าพยานจะเป็นจำเลยที่หนีหมายจำคุกของศาลหรือไม่
ต่อมาในช่วงบ่าย นายธาริต ได้ตอบคำซักค้านของทนายความจำเลยที่ 1 สรุปว่า กรณี เมื่อวันที่ 21 ธ.ค.2555 ที่เจ้าหน้าที่ดีเอสไอให้ความคุ้มครอง พ.ต.ท.สุวิชชัย แก้วผลึก ไปยังสนามบินสุวรรณภูมิ เพื่อจะขึ้นเครื่องไปยังประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ แต่ตอนแรกไม่สามารถเดินทางออกนอกประเทศได้ เพราะ ตม.ตรวจพบว่า พ.ต.ท.สุวิชชัย มีหมายจับของศาลจังหวัดมีนบุรีอยู่ และสุดท้ายก็สามารถเดินทางออกนอกประเทศได้นั้น ตนไม่ขอเปิดเผยรายละเอียดดังกล่าว เนื่องจากเป็นความลับในการคุ้มครองพยาน
ต่อมา ทนายความจำเลยที่ 1 ซักถามว่า เหตุใดไม่นำตัวพ.ต.ท.สุวิชชัย ที่อ้างว่าเป็นพยานปากสำคัญ มาเบิกความที่ศาลอาญา นายธาริต กล่าวดีเอสไอมีหน้าที่ให้ความคุ้มครองพยาน ไม่ได้มีหน้าที่พาพยานมาเบิกความต่อศาล
ทั้งนี้ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลัง นายธาริต ตอบการซักค้านทนายจำเลยเสร็จแล้ว ศาลจึงนัดไต่สวนพยานฝ่ายผู้ร้องอีกครั้ง ในวันที่ 18 เม.ย.2556 เวลา 13.00 น. และ นัดไต่สวนพยานจำเลยในวันที่ 19 เม.ย.2556 เวลา 13.00 น.