ตรงเป้า
ศรรามา
ก็เพราะเจ้าตัวเต็มใจและภูมิใจกับตำแหน่ง“ทาสนักโทษหนีคุก”ไม่อย่างนั้น ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ไม่ประกาศกลางสภา ว่า ตนเป็นขี้ข้า “ทักษิณ ชินวัตร” และเป็นมานานแล้วด้วย
ก็ไม่เห็นแปลกประหลาดอันใด ในเมื่อ ร.ต.อ.เฉลิม เขาแสดงความจงรักภักดีต่อเจ้านายของเขาอย่างนั้น จึงเหมาะสมกับฉายานักข่าวทำเนียบที่ตั้งให้เป็น “กันชนตระกูลชิน” และไม่ใช่สิ่งมหัศจรรย์กับคำพูดของ ร.ต.อ.เฉลิม ที่ผ่านมา “ถ้าพรรคเพื่อไทยถูกยุบผมจะตั้งพรรคใหม่ชื่อ.....พรรคทักษิณ”
เมื่อเขียนถึงรองนายกรัฐมนตรีคนนี้ ก็ต้องอนุรักษ์คำว่า“ขี้ข้าทักษิณ”ไว้ไม่เหมือนกับ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ซึ่งสถาปนาตัวเองเป็น “ไพร่” เพื่อใช้ในการก่นด่า “อำมาตย์” แต่พอตัวเองได้เป็นเสนาบดีเป็นอำมาตย์ยังอุตส่าห์สวมเสื้อยืดที่มีคำว่า “ไพร่” ตัวใหญ่เท่าหม้อแกงอยู่ที่หน้าอกอันนี้เพื่อใช้ในการสลับขาหลอกกลุ่มคนเสื้อแดง แต่นักข่าวทำเนียบเขาปลงสังเวชเลยมอบฉายา “ไพร่เทียม” ให้
เมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2555 พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ตร.นั่ง ฮ.ลงใต้ ไปให้กำลังใจลูกน้องมอบเงิน และสิ่งของ ขากลับจากยะลามาหาดใหญ่ ฝนตกหนัก อากาศปิด ฮ.ต้องร่อนลงฉุกเฉินกลางทุ่งนา ต.สะกอม อ.เทพา สงขลา รออยู่ 1 ชั่วโมง อากาศเปิด จึงบินมาลงที่กองบังคับการตำรวจตระเวนชายแดนที่ 4 อ.เมืองสงขลา แล้วนั่งรถยนต์มาที่ สภ.หาดใหญ่
วันเดียวกัน ร.ต.อ.เฉลิม เปิดบ้านบางบอน ให้ ส.ก.- ส.ข.บางบอน เข้าอวยพรปีใหม่ จากนั้นไปเดินส่ายอาดๆ โชว์ฟอร์มตรวจความเรียบร้อยที่เซ็นทรัลเวิลด์
มันเป็นภารกิจที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงของผู้มีหน้าที่รับผิดชอบต่อสถานการณ์ภาคใต้ทั้งสองคน
รู้ว่า ผบ.ตร.ไปใต้ ร.ต.อ.เฉลิม เลยพูดถึงภาคใต้บ้าง ว่า วันที่ 7 มกราคมนี้ จะไปพบจุฬาราชมนตรี ขอคำแนะนำในการแก้ปัญหาภาคใต้แล้วจะลงพื้นที่ 4 จังหวัด รวมทั้งสงขลาด้วย
คราวก่อน ร.ต.อ.เฉลิม บอกจะไปมาเลเซีย แต่ไม่ระบุว่าจะไปพบใครและพูดเรื่องอะไรเพียงแต่โม้ออกมานิดๆ มั่นใจว่า กลับจากมาเลย์แล้ว สถานการณ์ 3 จังหวัดใต้จะดีขึ้น คราวนี้ ร.ต.อ.เฉลิม บอกแล้วจะไปพูดคุยกับชาวมาเลย์ แต่ก็ยังอมพะนำไม่ยอมเผยว่าระดับไหน
ก่อนปีใหม่ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ลงพื้นที่ภาคใต้บ่อยครั้ง เพราะรู้ดีว่าลูกน้องต้องการขวัญและกำลังใจจากผู้บังคับบัญชาระดับสูง ประกอบกับมีพนักงานสอบสวนสังกัดตำรวจภูธรภาค 4 จำนวนหนึ่งออกมาต่อต้านการจับสลากไปทำงานใน 3 จังหวัดภาคใต้
พ.ต.ท.ไขแสง ถวิลวงษ์ พนักงานสอบสวน สบ3 หรือผู้ชำนาญการพิเศษ เทียบเท่ารองผู้กำกับการ สภ.บ้านฝาง ขอนแก่น เป็นตัวแทนพนักงานสอบสวน 76 นาย มายื่นหนังสือต่อกองร้องทุกข์สำนักงาน ก.ตร.คัดค้านนโยบายให้พนักงานสอบสวนจับสลาก ไปปฏิบัติหน้าที่ภาคใต้ อ้างว่า ไม่ได้รับความเป็นธรรม และพวกตนมีข้อขัดข้องไม่พร้อมที่จะทำงานภาคใต้
พล.ต.อ.อดุลย์ บอกว่า เมื่อเป็นตำรวจแล้วไม่สามารถเลือกนายเลือกลูกน้อง และเลือกที่ทำงานได้ อยู่ที่ผู้บังคับบัญชาจะมอบหมายและสั่งการภารกิจนี้เป็นของชาติบ้านเมือง เมื่อพนักงานสอบสวนขาดแคลนก็ต้องลงไปช่วยกันการไปทำงาน 3 จังหวัดภาคใต้ ก็ได้สิทธิพิเศษ สมัยตนไปอยู่ 3 ปีครึ่ง ไม่มีสิทธิพิเศษอะไรเลยด้วยซ้ำ ทุกคนมีข้อจำกัดด้วยกันทั้งนั้น ตนก็มีครอบครัว แต่เมื่อผู้บังคับบัญชาสั่งให้ทำก็ต้องทำ ทำเพื่อชาติบ้านเมือง
“น้องๆ ที่ออกมาเคลื่อนไหวต้องทบทวน” พล.ต.อ.อดุลย์ กล่าวถึงพนักงานสอบสวนที่เข้าชื่อร้องทุกข์ ส่วน พ.ต.ท.ไขแสง ที่ให้สัมภาษณ์สื่อนั้น ต้นสังกัดต้องสอบสวนทางวินัย ถ้าเป็นความผิดก็ต้องลงโทษตามระเบียบ
แต่ ร.ต.อ.เฉลิม ไม่ใช้น้ำเย็นลูบ กลับสาดด้วยน้ำร้อนอย่างเกรี้ยวกราด ระบุ นายตำรวจเหล่านั้นไม่มีวินัย การออกมาร้องเรียนไม่ใช่การแสดงสิทธิ ของแบบนี้ต้องเฉลี่ยความลำบากเฉลี่ยความทุกข์กัน เอาเป็นว่าถ้าใครทำไม่ได้ ไม่อยากอยู่ ก็ออกไป รับตำรวจเข้ามาใหม่ก็ได้ ชั้นประทวนจบกฎหมายจบปริญญาโทเยอะแยะ แล้วตบท้ายด้วยคำพูดท้าทาย “ผมไม่กลัวหรอกจะมาเดินประท้วง”
อีกหนึ่งคำพูดที่หลุดจากปาก ร.ต.อ.เฉลิม “อย่าทำตัวแบบนักการเมือง” ซึ่งไม่รู้ว่าหมายถึงอะไร เพราะสั่งสอนพนักงานสอบสวนที่ออกมาร้องทุกข์ว่าเป็นตำรวจต้องมีวินัย แล้วเอาไปเปรียบเทียบกับนักการเมือง ก็น่าจะแปลความหมายได้ว่านักการเมืองนั้นไม่มีวินัย
ร.ต.อ.เฉลิม ตอบกระทู้ฝ่ายค้านในสภา นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ถามเรื่องคนของพรรคประชาธิปัตย์ ถูกทำร้ายบอกผ่านประธานสภา ว่า อย่าคิดว่าคดีนี้มันหมูเหมือนคดี “ดาบยิ้ม” ร.ต.อ.เฉลิม สั่งสอน นายพิพิฏฐ์ ทันที ว่า นักการเมืองต้องมีศักดิ์ศรี อย่าหยิบเอาเรื่องอื่นมาตีกินมากระแหนะกระแหน ร.ต.อ.เฉลิม ไม่ยักกะคิดว่าคิดว่ากำลังด่าตัวเอง
กล่าวสำหรับกรณีของ พ.ต.ท.ไขแสง ถวิลวงศ์ สบ3 เพิ่งสำเร็จหลักสูตรผู้กำกับการรุ่น 91 เมื่อเดือนตุลาคม ที่ผ่านมา ไม่รู้ว่าไม่อยากลงใต้ เพราะกลัวตายเหมือน ร.ต.อ.เฉลิม หรือเปล่า แต่การกระทำของ พ.ต.ท.ไขแสง ขาดสำนึกในความเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ และไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชา
เป็นพนักงานสอบสวนทำงานบนโรงพัก ไม่ได้ไปเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายเหมือนฝ่ายปราบปราม ไม่ได้ไปรบทัพจับศึกกับโจร ไม่ต้องมือหนึ่งถือปากกา และอีกมือถือปืนเหมือนอย่างพลตำรวจเอกเฒ่าผมเกรียน เขียนไว้ในสื่อฉบับหนึ่ง เรียกร้องให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีมาตรการคุ้มครองความปลอดภัยแก่พนักงานสอบสวนทั้ง 150 นาย ก็แล้วชาวบ้านมีมาตรการอะไรคุ้มครองพวกเขาบ้าง
ตำรวจยังเป็นกลไกสำคัญในการแก้ปัญหาภาคใต้ ก็อยู่ใน “วงที่ 1” ของ ร.ต.อ.เฉลิม กำหนดหลักการขึ้นมาวงนี้ ประกอบด้วย เจ้าหน้าที่ของรัฐ ส่วนวงที่ 2 เป็นของประเทศเพื่อนบ้าน และวงที่ 3 เป็นของโลกมุสลิม ทั้ง 3 วงนี่แหละ ร.ต.อ.เฉลิม มั่นใจจะแก้ปัญหาได้
อย่าเพิ่งปรามาส ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ท่านเป็นดอกเตอร์ปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยรามคำแหง สอบวิชากฎหมายอิสลามได้เกรด เอ อันนี้ท่านคุยเองโม้เอง
แต่ไม่รู้จบรามมาได้ยังไง เพราะไม่รู้เลยว่าที่รามคำแหงนั้น ไม่มีเกรดเอ บี ซี สรุปตั้งแต่ต้นจนจบ….เหลิมเอ๊ย ทำไมชมชอบถลกหนังให้สังคมเห็นกำพืดตัวเอง