xs
xsm
sm
md
lg

ผ่า “แผนกรกฎ 52”สยบม็อบเสธ.อ้าย ประกาศม้วนเสื่อกลับบ้าน!

เผยแพร่:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม


การประกาศยุติการชุมนุม ของ เสธ.อ้าย หรือ พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ ประธานองค์การพิทักษ์สยาม ช่วงเย็นวันที่ 24 พ.ย.บนเวทีบริเวณหน้าลานพระบรมรูปทรงม้าฯพระปิยะมหาราช รัชกาลที่ 5.สร้างความงุนงงให้กับผู้มาร่วมการชุมนุมและผู้ที่กำลังจะเดินทางออกมาร่วมชุมนุมไม่น้อยเลยทีเดียว

“เสียใจที่รัฐบาลทำแบบนี้ ทั้งที่ที่องค์การพิทักษ์สยามยืนยันแล้วว่าจะชุมนุมสงบ ไม่ยืดเยื้อ ไม่ยึดสภา หากตนไม่มีเกียรติยศคงพามวลชนบุกเข้ารัฐสภาและทำเนียบรัฐบาลไปนานแล้ว โดยที่ผ่านมามีการระดมเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาจำนวนมาก แต่ทางตำรวจไม่ควรทำร้ายประชาชนมือเปล่า รวมถึงจับมวลชนไปอีกหลายคนด้วย

ผมไม่อยากให้คนรักชาติมาเสียชีวิตจากการกระทำของตำรวจแบบนี้ นอกจากนี้ยังมีการสกัดกั้นทำให้มวลชนไม่สามารถเข้ามาร่วมชุมนุมได้ ทั้งนี้จะเข้าไปช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับบาดเจ็บจากการสลายการชุมุนม และจะให้ทนายความช่วยเหลือทางคดีกับผู้ชุมนุมที่ถูกจับกุม อย่างไรก็ตาม ผมขอกราบเท้ามวลชนที่เข้ามาร่วมชุมนุมวันนี้ แต่เพื่อเป็นการรักษาชีวิตของทุกคน ผมขอประกาศยุติการชุมนุมบัดนี้เป็นต้นไปเพราะผมยอมไม่ได้จริงๆที่นจะให้มีการเสียชีวิตเกิดขึ้นแม้เพียง 1 ชีวิตของพี่น้องที่มาร่วมชุมนุมกันในวันนี้”

เป็นส่วนหนึ่งของคำประกาศบนเวทีของเสธ.อ้ายเพื่อยุติการชุมนุมโดยให้เหตุผลเพื่อรักษาชีวิตประชาชนนผู้มาเข้าร่วมมการชุมนุมไว้
ภายหลัง เสธ.อ้าย ยอมรับอย่างลูกผู้ชายว่าตนตายจากการเมืองแล้วและไม่ขอออกมาเคลื่อนมไหวทางการเมืองอีก เนื่องจากประเมินสถานการณ์แล้วพบว่าอยู่ในฐานะเสียเปรียบรัฐบาล เพราะมีการตัด น้ำ - ไฟ ในบริเวณที่ผู้เข้าร่วมชุมนุม ม็อบ เสธ.อ้าย ตกเป็นเป้าหากมีการเกิดอะไรขึ้นไม่มีใครสามารถคาดคิดได้ว่ารัฐบาลจจะงัดวิชามารอะไรมาเล่นงานอีกท่ามกลางสายฝนที่ตกลงมาจากฟ้าอย่างไม่ขาดสาย
ในแนวทางการรบแล้ว ถือว่า “เสี่ยง” ที่จะเอาชีวิตประชาชนมาเป็นเดิมพันในการโค่นล้มรัฐบาล เพราะ เสธ.อ้าย ไม่มีทางปฎิเสธความรับผิดชอบได้เลย แม้หาก “มีการตาย” จากการชุมนุมเกิดขึ้นรัฐบาลก็จะใช้วิชามารออกมาแถลงว่าเป็นผลพวงจากกองกำลังไม่ทราบฝ่ายได้เพราะเท่าที่ดูสถานการณ์มาตลอดทั้งวันแล้วชัดเจนที่รัฐบาลและตำรวจเลือกที่จะใช้ “ยาแรง” กับม็อบเสธ.อ้าย อย่างแน่นอน
ย้อนไปมองสถานการณ์ในวันที่ 24 พ.ย. รัฐบาลมีการประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ และ พลตำรวจเอกอดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ตร.ประกาศใช้แผนกรกฎ 52 มาใช้ในการควบคุมผู้ชุมนุม โดยปรับจากแผน “กรกฎ 48” โดยเป็นการลดขั้นตอน แต่เพิ่มรายละเอียดในการปฏิบัติในส่วนของขั้นตอนการจับกุม และระบุขั้นตอนการจับกุมอย่างละเอียด เริ่มต้นที่การจับกุมด้วยมือเปล่า การใช้มือเปล่าล็อก หรือบังคับการใช้กุญแจมือ การใช้คลื่นเสียงก่อกวน แต่หากมีการใช้แก๊สน้ำตาแล้วยังไม่สามารถควบคุมสถานการณ์การชุมนุมได้ ก็เพิ่มขั้นตอนการใช้โล่ กระบอง กระสุน เครื่องช็อตไฟฟ้า เป็นขั้นตอนสุดท้าย นอกจากนี้ยังระบุถึงอุปกรณ์ที่ใช้ในการควบคุมสถานการณ์การชุมนุม ต้องไม่ทำให้เป็นอันตรายถึงชีวิต โดยแต่ละขั้นตอน เจ้าหน้าที่จะประกาศผ่านสื่อมวลชนให้ประชาชน และผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องได้ทราบก่อนจะปฏิบัติการ

ทั้งนี้การพัฒนาและปรับปรุง โดย พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ตร. ตั้งแต่สมัยยังดำรงตำแหน่งผู้ช่วย ผบ.ตร. ผ่านการศึกษาปัญหาข้อจำกัดต่าง ๆ ของแผนเดิม สู่การทำงานควบคุมฝูงชนที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ทันต่อสถานการณ์การชุมนุมที่เปลี่ยนแปลงไป รวมถึงปรับเปลี่ยนการจัดกำลัง ยุทธวิธี ยุทโธปกรณ์ เครื่องมือกฎการใช้กำลังและกฎหมายที่เกี่ยวข้องโดยยึดตามหลักมาตรฐานสากล พร้อมอุปกรณ์ที่ทันสมัย ประกอบด้วยรถติดระบบเครื่องเสียงที่มีระบบส่งสัญญาณรบกวนโสตประสาทหู รถแอลหลาดที่มีศักยภาพสูง มูลค่าเกือบ 30 ล้านบาท สามารถฉีดน้ำผสมแก๊สน้ำตา น้ำผสมสี หรือน้ำผสมโฟม และอุปกรณ์อื่น ๆ อาทิ ปืนยิงแก๊ส ปืนยิงตาข่าย ปืนยิงกระสุนยาง ฯลฯ เพื่อเป็นหลักประกันให้ตำรวจมีความมั่นใจในการทำงาน

เช้าวันที่ 24 พ.ย.ที่ลานพระบรมรูปทรงม้า ตั้งแต่เวลา 07.00 น. บรรยากาศการชุมนุมของกลุ่มองค์การพิทักษ์สยาม (อพส.) ที่นำโดย พลเอกบุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ หรือ “เสธ.อ้าย” ผู้คนเริ่มทยอยหลั่งไหลมาจากทั่วสารทิศด้วยความหวังที่เต็มเปี่ยมและอุดมการณ์หนึ่งเดียวกันในการขับไล่รัฐบาลนอมินี “จอมปลวก” ของ “ทักษิณ” ที่มีน้องสาวอย่าง “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร”เป็นตัวเดินหมากทางการเมืองแทน
เสธ.อ้าย ประกาศเดิมพันเลือกวันที่ 24 พ.ย.ที่วันรวมพลประชาชนนให้ออกมาแสดงพลังเคลื่อนไหวขับไล่ “รัฐบาลจอมปลวก” เนื่องจากดูฤกษ์ยามแล้วพบว่าเป็นวันที่เหมาะสมตามหลักดาราศาสตร์ เพราะถือเป็นวันธงชัย อีกทั้งเป็นวันเสาร์ที่ตรงกับวันหยุดราชการ หากดูสถานการณ์แล้วมีผู้มาร่วมชุมานุมตามที่ได้ตั้งเป้าไว้ก็จักสามารถลากยาวการชุมนุมได้ถึงวันอาทิตย์ทีเดียว
โดยบรรยากาศเริ่มต้นเป็นไปอย่างคึกคักและมีแนวโน้มว่าจะมีผู้เข้าร่วมชุมนุมเป็นจำนวนมาก บนเวทีปราศรัยที่มีการติดตั้งเครื่องเสียงและเต็นท์ขนาดใหญ่เพื่อเป็นหลังคา โดยมีการจัดกิจกรรมจากวงดนตรีสลับกับการขึ้นพูดปราศรัยของแนวร่วมต่างๆ อย่างต่อเนื่อง
ส่วนการจราจรโดยรอบลานพระบรมรูปทรงม้าฯ เจ้าหน้าที่ตำรวจตั้งจุดสกัดห้ามรถยนต์เข้ามายังบริเวณการชุมนุม ทำให้ผู้ชุมนุมต้องเดินเท้าเข้ามา ซึ่งส่วนใหญ่จะมีการเตรียมขวดน้ำ หมวกและพัดเข้ามาด้วย โดยมีผู้ชุมนุมบางส่วนกว่า 300 คน ไปรวมตัวกันบริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ เพื่อเจรจาขอเดินทางเข้าไปยังลานพระบรมรูปทรงม้าจากเส้นทางดังกล่าว แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจกว่า 2 กองร้อย ไม่อนุญาตให้ผ่านทางพร้อมประกาศผ่านโทรโข่งว่า “พื้นที่นี้เป็นพื้นที่ห้ามเข้าตาม พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ ฉะนั้นขอให้พี่น้องผู้เข้าร่วมชุมนุมเดินอ้อมไปเข้าทางนางเลิ้งแทน”

ต่อมาเมื่อเวลา 08.20 น. ที่บริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ กลุ่มผู้ชุมนุมกว่า 400 คน ยังคงพยายามเจรจาต่อรองอย่างต่อเนื่อง โดยผู้ชุมนุมบางส่วนได้พยายามเอารั้วหนามออก ก่อนจะพยายามรื้อแท่งคอนกรีตที่ขวางกั้นระหว่างผู้ชุมนุมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจออก ส่งผลให้ตำรวจมีการเพิ่มกำลังเป็น 5 กองหลัง ยืนแนวขวางเป็น 5 แถวตั้งรับผู้ชุมนุม

หลังจากนั้นเวลา 08.50 น. กลุ่มผู้ชุมนุมได้นำรถบรรทุก 6 ล้อติดเครื่องขยายเสียงที่มีการพูดปลุกระดมอย่างต่อเนื่อง ได้พยายามขับไปทางด้านซ้ายของช่วงกลางสะพานมัฆวาน ที่ได้มีการรื้อแท่นคอนกรีตที่ขวางทางออกไว้ก่อนหน้านี้แล้ว โดยมีผู้ชุมนุมเป็นชายฉกรรจ์กว่า 10 คน ได้วิ่งเข้าไปผลักดันกับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ใช้โล่ใสเป็นเวลานานกว่า 2 นาที และเมื่อรถบรรทุกคันดังกล่าวได้เคลื่อนตัวเข้ามาติดเจ้าหน้าที่ตำรวจที่กำลังผลักดันกับผู้ชุมนุม ก็มีเจ้าหน้าที่ตำรวจโยนแก๊สน้ำตาแบบขว้างมาจากทางด้านหลัง ทำให้เกิดควันสีขาวกระจายเต็มพื้นที่ดังกล่าว ส่งผลให้ผู้ชุมนุมแตกวงและวิ่งหลบหนีอย่างชุลมุน ส่วนเจ้าหน้าที่ตำรวจต่างถอยร่นออกไปด้านข้าง อย่างไรก็ตาม ผู้ชุมนุมบางส่วน รวมถึงรถบรรทุก 6 ล้อสบโอกาสอาศัยช่วงชุลมุลวิ่งฝ่าวงล้อมตำรวจเข้าไป ก่อนตำรวจจะมีการขว้างแก๊สน้ำตารอบที่ 2 พร้อมดำเนินการจับกุมผู้ชุมนุมที่ฝ่าวงล้อมเข้าไป โดยหลังจากสถานการณ์สงบลงพบตำรวจบาดเจ็บ 5 นาย ผู้ชุมนุมหลายสิบราย และพบกระป๋องแก๊สน้ำตาที่ถูกใช้งานแล้วกว่า 10 กระป๋องในจุดที่เจ้าหน้าที่ขว้างเข้ามา ขณะที่ตำรวจก็เริ่มใส่ชุดหน้ากากป้องกันแก๊สน้ำตาพร้อมโล่และกระบองกลับมาวางแนวป้องกันเช่นเดิม

ขณะที่บนเวทีก็มีการปราศรัยโจมตีรัฐบาลเป็นระยะ โดยในเวลา 08.45 น. พิธีกรบนเวทีได้ระบุว่า ขณะนี้มีประชาชนที่จะเข้าร่วมชุมนุม ถูกสกัดกั้นอยู่บริเวณแยกสะพานมัฆวานรังสรรค์ และ ร.ต.แซมดิน เลิศบุศย์ เอากำลังไปและเชิญชวนผู้ที่มาถึงบริเวณที่ชุมนุมแล้ว ขอให้เดินไปรับผู้ที่จะเข้าร่วมชุมนุมแต่ถูกสกัดกั้นด้วย พร้อมกับเตือนผู้เข้าชุมนุมเตรียมผ้าเช็ดหน้าเพราะมีการใช้แก๊สน้ำตาแล้ว

ในขณะ เสธ.อ้าย เดินทางมาถึงบริเวณลานพระบรมรูปทรงม้า ในเวลาประมาณ 08.30 น.ซึ่งเป็นเวลาที่สถานการณ์กำลังคับขันที่บริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ และในเวลาต่อมาก็มีการใช้แก๊สน้ำตาเข้าสลากผู้ชุมนุมที่พยายามเข้าไปในเขตหวงห้ามที่วทางตำรวจได้ประกาศไว้ก่อนหน้านี้่
ตรงนี้คือจุดอ่อนและความเลี่ยงพล้ำ ของ เสธ.อ้าย ในฐานะแกนนำที่ไม่สามารถควบคุมมวลชนไว้ได้ เมื่อวิเคราะห์โดยละเอียดการปล่อยให้มีภาพทางสื่อโทรทัศน์ออกไปตั้งแต่ช่วงสาย ๆวันที่ 24 พ.ย.เป็นการเข้าทางรัฐบาลและแผนกรกฎ 52 ที่ตำรวจได้เตรียมตั้งรับไว้
เท่ากับ เสธ.อ้าย ตกหลุมพลางที่ทาง พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ตร.ได้เขียนแผน กรกฎ 52 ซึ่งประยุกต์มาจากแผน กรกฎ 48 ที่ตนเองได้วางไว้กับมือ
"เข้าทางตำรวจ" เป็นไปตามการวางแผนของ พล.ต.อ.อดุลย์ ที่คาดการไว้ว่ามวลชนจะหลั่งไหลมาเป็นจำนวนมาก จึงได้มีการสั่งให้วางกำลังตำรวจจำนวน 112 กองร้อยมาควบคุมสถานการณ์ และปิดกั้นพื้นที่ช่วงระหว่างกลางถนนราชดำเนินบริเวณทำเนียบรัฐบาลไม่ให้สามารถผ่านเข้าออกได้ ตลอดจนด้านหลังพระบรมรูปทรงม้าฯ ก็ไม่ให้ผ่านเช่นกัน ด้วยความมุ่งหวังที่จะสกัดกั้นไม่ให้มวลบชนสามารถรวมตัวกันได้เป็นกลุ่มก้อน
เมื่อคนจำนวนมากมารวมตัวกัน "ร้อยพ่อพันแม่" มารวมกันจึงยากต่อการคอนโทรลมวลชนให้อยู่ในความสงบหากไม่มีการวางแผนการควบคุมที่ดีพอ ภาพที่ออกมาทางโทรทัศน์ที่รายงานสถานการณ์สดถึงผู้ชมทางบ้านที่เห็นความวุ่นวายในการใช้แก๊สน้ำตาเข้าสลายการชุมนนุม ถือเป็น "จุดจบ" ในการที่จะมีผู้เข้าร่วมชุมนุมเพิ่มด้วยเหตุผลแห่งความ "กลัว"
ตรงนี้่ต้องยอมรับว่าม็อบเสธ.อ้าย มีพลังขับเคลื่อนที่สามารถล้ม รัฐบาลได้ เปรียบเสมือนรถสมรถนะดี เครื่องยนต์แรง แต่ขาดผู้ขับขี่ที่มีประสบการณ์และความชำนาญจึงไม่มสามารถทำให้ขับเคลื่อนไปสู่จุดหมายเส่้นชัยที่คาดหวังได้ตลอดรอดฝั่ง

และนี่เป็นบทเรียนราคาแพงของผู้เข้าร่วมชุมนุมทุกคนได้เก็บไว้เป็นบทเรียนว่า "ความรุนแรง" ไม่ได้ช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้นหากไม่อยู่ในเวลาที่พอเหมาะพอควร เพราะหาก "เพลี่ยงพล้ำ" นั่นหมายความว่า "ตกหลุมพลาง - เข้าทางโจร" จนต้องม้วนเสื่อกลับบ้านกันในที่สุด
หาก เสธ.อ้าย ควบคุมมวลชนให้อยู่ในความสงบได้ตลอดทั้งวันเชื่อว่าคนต้องออกมาร่วมชุมนุมมากจนล้นไปถึงท้องถนนราชดำเนินแน่นอน

"อยากกั้นให้มันกั้นไปแต่หากภาพที่เผยแพร่ไปทั่วโลกว่ารัฐบาลไทยมีประชาชนเรือนแสนเรือนล้านออกมาร่วมชุมนุมขับไล่รัฐบาล"

ดูสิว่า..."มันจะหน้าด้านอยู่กินบ้านกินเมืองต่อไปได้อย่างไร??"

สอนของพ่อ สถิตในดวงใจ : รายงาน


เสธ.อ้าย พลเอก บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์
กำลังโหลดความคิดเห็น