ตรงเป้า
ศรรามา
“เสียใจ พลเอก บุญเลิศ ตายไปแล้ว” เป็นคำพูดสุดท้ายของชายวัย 70 พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ หรือ เสธ.อ้าย บนเวทีองค์การพิทักษ์สยาม เมื่อเย็นวันที่ 24 พฤศจิกายน 2555 หลังจากประกาศ “ยุติการชุมนุม”
ไม่ต้องบอกว่าทั้งใบหน้าและดวงตาของ พล.อ.บุญเลิศ เต็มไปด้วยความผิดหวัง และเจ็บปวดเพียงไรกับการเป็นผู้นำมวลชนมาชุมนุมขับไล่รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แล้วไม่ประสบความสำเร็จ
ต้นกำเนิดของการชุมนุมที่สนามม้านางเลิ้ง และลานพระบรมรูปทรงม้า มาจากการทำบุญประเทศทั่วประเทศของกลุ่มคนที่เรียกว่า “ทนไม่ไหว” ทนต่อการบริหารงานของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ไม่ได้โดยสรุป 3 ประเด็น คือ ปล่อยให้มีการจ้วงจาบละเมิดต่อพระมหากษัตริย์เป็นรัฐบาลหุ่นเชิดของทักษิณ ชินวัตร และมีการทุจริตคอร์รัปชัน
มองตามหน้าเสื่อ พล.อ.บุญเลิศ ไม่สันทัดจัดเจนเรื่องการเมือง ไม่ประสีประสากับการนำมวลชนชุมนุม เพราะ พล.อ.บุญเลิศ เป็นชายชาติทหาร และชายชาตินักเลงประเภทตัวจริงเสียงจริง ไม่ใช่นักเลงหัวไม้ หรือนักเลงเก่งแต่ปาก
ด้วยเหตุนี้ก่อนการชุมนุมที่สนามม้านางเลิ้ง คนระดับรองนายกรัฐมนตรี ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง จึงปรามาสไว้น่าจะมีคนมาไม่เกิน 2,000 แต่เอาเข้าจริง ร.ต.อ.เฉลิม ช่วยเรียกแขกแห่มาเนืองแน่นถึง 30,000 คน ทำให้ พล.อ.บุญเลิศ ฮึกเหิม ประกาศชุมนุมครั้งต่อไปอีกโดยตั้งเป้ามวลชนไว้ถึง 1 ล้านคน
แม้จะรู้ว่าเป็นไปไม่ได้ แต่รัฐบาลก็ไม่ประมาทศักยภาพของ พล.อ.บุญเลิศ เพราะการชุมนุมที่สนามม้านางเลิ้ง เห็นๆ กันอยู่ เมื่อ พล.อ.บุญเลิศ ประกาศวันเวลาที่จะชุมนุมที่ลานพระบรมรูปทรงม้า ระบุจำนวนคนแน่ชัดเท่านั้นเอง สารพัดวิชามารก็ออกมาเป็นระลอกออกจากปากรองนายกรัฐมนตรี จากรัฐมนตรี จากเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ จาก ส.ส.เพื่อไทย และจากขี้ข้าทักษิณ เพื่อให้เข้าตาทักษิณแย่งกันเอาหน้า ว่า ตนคือผู้ปกป้องรัฐบาล ปล่อยข่าวมีกลุ่มผู้เสียประโยชน์ กลุ่มต้องการล้มล้างรัฐบาล และเจ้าของบ่อนการพนัน ลงขัน 6,000 ล้านบาท...... ขู่ว่าจะมีมือที่สามป่วนม็อบ......จะมีแดงปลอม 4,000 คน เข้ามาสร้างความวุ่นวายพบว่า มีการจ้างตัดเสื้อสีแดงไว้แล้ว......จะมีการยิงเอ็ม 79 ใส่ม็อบ...... จะมีการจับนายกรัฐมนตรี เป็นตัวประกัน...... ว่าจ้างประชาชน 11 จังหวัดภาคใต้ มาชุมนุม จ่ายหัวละ 1,500 บาทต่อคนต่อวัน......ปูดข่าว พลเอก อ.อ่าง ร่วมมือกับ พล.อ.บุญเลิศ ล้มรัฐบาลให้ทหารออกมาปฏิวัติแล้วให้ ส.เสือ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ เป็นนายกรัฐมนตรี
คนปูดข่าวนี้ คือ จ.ส.ต.ประสิทธิ์ ไชยศีรษะ ส.ส.สุรินทร์ พรรคเพื่อไทยไม่รู้เอาอวัยวะส่วนไหนคิดเป็นตุเป็นตะ...... รวมทั้งระดมกำลังตำรวจทั่วประเทศ 5 หมื่นคน และประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ ล้วนแล้วเป็นการสกัดกั้นผู้มาชุมนุม และลดความเชื่อถือในตัว พล.อ.บุญเลิศ สุดท้าย พล.อ.บุญเลิศ ก็ต้องพบกับความผิดหวัง เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างไม่เป็นไปตามแผนที่วางไว้ต้องประกาศยุติการชุมนุม ลาออกจากการเป็นประธานองค์การพิทักษ์สยาม ลาออกจากประธานมูลนิธิศิษย์เก่าเตรียมทหาร ซึ่งก่อนหน้านั้น ก็ลาออกจากตำแหน่งนายกสมาคมมวยสากลสมัครเล่นแห่งประเทศไทย เพราะให้คำมั่นสัญญาว่าถ้านักมวยไทยไม่ได้เหรียญทองกีฬาโอลิมปิกจะลาออกทันที
“ผมเรียนไม่ค่อยเก่งเท่าไร แต่ส่วนมากที่ได้ตำแหน่ง เพราะว่ามีคนมาขอให้เป็นเขาอาจเห็นว่าเราเป็นคนพูดจริงทำจริง และพูดง่ายไม่มีเล่ห์เหลี่ยม บอกอยู่อยู่ บอกออกออก บอกไปไป บางคนบอกผมโง่ บางคนบอกพูดง่าย แต่สิ่งสำคัญที่ผมยึดถือมาตลอด คือ ต้องรู้ผิดรู้ถูก ต้องรู้จักผิดชอบชั่วดี”พล.อ.บุญเลิศ เคยให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวไว้
กล่าวถึงการยุติชุมนุมขององค์การพิทักษ์สยาม มีเหตุผลหลายประการที่บีบรัดสร้างความอึดอัดแก่ พล.อ.บุญเลิศ อย่างยิ่งประการสำคัญ คือ จำนวนมวลชนต่ำกว่าเป้าหมายมากมายนัก ที่กระจายอยู่บริเวณลานพระบรมรูปทรงม้า ส่วนใหญ่มาจากกองทัพธรรมของสันติอโศก และจำนวนอีกไม่น้อยจากต่างจังหวัดเดินทางด้วยรถยนต์ ถูกตำรวจในท้องที่สกัดกั้นถ่วงเวลาด้วยการตรวจค้นหาสิ่งผิดกฎหมาย
อีกประการที่สำคัญไม่ยิ่งหย่อนกว่ากันเป็นความผิดพลาดของ พล.อ.บุญเลิศ เองในกรณีที่ก่อนการชุมนุม ศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) ออกประกาศฉบับที่ 1 เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2555 เรื่องปิดถนน 9 เส้นทาง จากนั้น พล.ต.อ.วรพงษ์ ชิวปรีชา รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กับ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ไปเจรจากับ พล.อ.บุญเลิศ ที่สนามม้านางเลิ้ง ตกลงกันเรื่องตรวจอาวุธ รวมทั้งช่องทางที่ผู้ชุมนุมจะเข้าสู่ลานพระบรมรูปทรงม้า แต่ พล.อ.บุญเลิศ หาได้ฉุกคิดเรื่องการปิดถนนลำดับที่ 1 ถนนราชดำเนินนอก ตั้งแต่สะพานมัฆวาน ถึงแยกศรีอยุธยา “ห้ามบุคคลเข้าหรือออก” หมายถึงตำรวจประเมินไว้ว่า ผู้ชุมนุมจะมีจำนวนประมาณ 7-8 หมื่นคน และอาจจะเพิ่มมากขึ้น ถ้าปล่อยพื้นที่ให้ผู้ชุมนุมยึดถนนราชดำเนินกลางตลอดทั้งสาย จะยากต่อการควบคุมสถานการณ์ จึงตัดถนนราชดำเนินกลางออกเป็น 2 ท่อน ให้ผู้ชุมนุมอยู่ในบริเวณลานพระบรมรูปทรงม้าไปจรดแยกศรีอยุธยา โดยวางกำลังตำรวจไว้ที่แยกศรีอยุธยา กับสะพานมัฆวาน
เมื่อผู้ชุมนุมจากผ่านฟ้าจะมาลานพระบรมรูปทรงม้า ก็ไม่สามารถผ่านสะพานมัฆวานได้ จึงเกิดปะทะกับตำรวจทั้งรอบเช้าและรอบบ่าย ตำรวจต้องการเผด็จศึกอย่างเฉียบขาด จึงแหกกฎกติกาการควบคุมฝูงชนขว้างแก๊สน้ำตาใส่ผู้ชุมนุม ซึ่งการปฏิบัติงานของตำรวจครั้งนี้ ข้ามขั้นตอนของการฉีดน้ำไล่ และการใช้มาตรการเปิดเสียงใส่ที่เรียกว่า “หูดับ” อันเป็นขั้นตอนก่อนถึงแก๊สน้ำตา และกระบอง ไม่มีรถน้ำรถดับเพลิง ไม่มีรถส่งคลื่นเสียงทำให้หูดับอยู่ในบริเวณนั้น แสดงว่า ตำรวจจงใจใช้มาตรการแก๊สน้ำตากำราบผู้ชุมนุมสถานเดียว
อีกหลายประการที่ทำให้การชุมนุมต้องล้มเหลวอยู่ที่ศักยภาพของแกนนำสามารถดึงความสนใจจากประชาชนได้เพียงใดอยู่ที่ผู้ปราศรัยบนเวทีจะนำข้อมูลมาสร้างความเร้าใจได้มากน้อยเพียงไหนอยู่ที่โฆษกเวทีจะปลุกความฮึกเหิมให้แก่ผู้ชุมนุมเพียงใดสิ่งเหล่านี้ประเมินว่ากลุ่มพิทักษ์สยามสอบตก
เสธ.อ้าย พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ คนจริงจากหมู่บ้านโคกลำพาน อ.เมืองลพบุรี ศิษย์เก่าพิบูลวิทยาลัยรุ่น 2501 เตรียมทหารรุ่น 1 จปร.รุ่น 12 ยอมรับถึงความผิดพลาดครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิต แต่เขายังดำรงความเป็นชายชาติทหารอย่างองอาจ
“ถึงผมจะเสียหน้าเสียศักดิ์ศรีไม่สามารถนำคนมาเยอะๆ อย่างที่ต้องการ แต่ผมภูมิใจที่ไม่มีใครต้องเสียชีวิต”