การประกาศยุติการชุมนุมของ เสธ.อ้าย หรือ พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ ประธานองค์การพิทักษ์สยาม ช่วงเย็นวันที่ 24 พ.ย.บนเวทีบริเวณหน้าลานพระบรมรูปทรงม้า พระปิยมหาราช รัชกาลที่ 5.สร้างความงุนงงให้กับผู้มาร่วมการชุมนุม และผู้ที่กำลังจะเดินทางออกมาร่วมชุมนุมไม่น้อยเลยทีเดียว
“เสียใจที่รัฐบาลทำแบบนี้ ทั้งที่ที่องค์การพิทักษ์สยาม ยืนยันแล้วว่า จะชุมนุมอย่างสงบ ไม่ยืดเยื้อ ไม่ยึดสภา หากตนไม่มีเกียรติยศคงพามวลชนบุกเข้ารัฐสภา และทำเนียบรัฐบาลไปนานแล้ว โดยที่ผ่านมามีการระดมเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาจำนวนมาก แต่ทางตำรวจไม่ควรทำร้ายประชาชนมือเปล่า รวมถึงจับมวลชนไปอีกหลายคนด้วย
ผมไม่อยากให้คนรักชาติมาเสียชีวิตจากการกระทำของตำรวจแบบนี้ นอกจากนี้ ยังมีการสกัดกั้นทำให้มวลชนไม่สามารถเข้ามาร่วมชุมนุมได้ ทั้งนี้ จะเข้าไปช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับบาดเจ็บจากการสลายการชุมุนม และจะให้ทนายความช่วยเหลือทางคดีกับผู้ชุมนุมที่ถูกจับกุม อย่างไรก็ตาม ผมขอกราบเท้ามวลชนที่เข้ามาร่วมชุมนุมวันนี้ แต่เพื่อเป็นการรักษาชีวิตของทุกคน ผมขอประกาศยุติการชุมนุมบัดนี้เป็นต้นไป เพราะผมยอมไม่ได้จริงๆ ที่นจะให้มีการเสียชีวิตเกิดขึ้นแม้เพียง 1 ชีวิตของพี่น้องที่มาร่วมชุมนุมกันในวันนี้”
เป็นส่วนหนึ่งของคำประกาศบนเวทีของ เสธ.อ้าย เพื่อยุติการชุมนุมโดยให้เหตุผลเพื่อรักษาชีวิตประชาชนนผู้มาเข้าร่วมมการชุมนุมไว้
ภายหลัง เสธ.อ้าย ยอมรับอย่างลูกผู้ชาย ว่า ตนตายจากการเมืองแล้ว และไม่ขอออกมาเคลื่อนไหวทางการเมืองอีก เนื่องจากประเมินสถานการณ์แล้ว พบว่า อยู่ในฐานะเสียเปรียบรัฐบาล เพราะมีการตัด น้ำ-ไฟ ในบริเวณที่ผู้เข้าร่วมชุมนุม ม็อบ เสธ.อ้าย ตกเป็นเป้าหากมีการเกิดอะไรขึ้นไม่มีใครสามารถคาดคิดได้ว่ารัฐบาลจจะงัดวิชามารอะไรมาเล่นงานอีกท่ามกลางสายฝนที่ตกลงมาจากฟ้าอย่างไม่ขาดสาย
ในแนวทางการรบแล้ว ถือว่า “เสี่ยง” ที่จะเอาชีวิตประชาชนมาเป็นเดิมพันในการโค่นล้มรัฐบาล เพราะ เสธ.อ้าย ไม่มีทางปฏิเสธความรับผิดชอบได้เลย แม้หาก “มีการตาย” จากการชุมนุมเกิดขึ้นรัฐบาลก็จะใช้วิชามารออกมาแถลงว่าเป็นผลพวงจากกองกำลังไม่ทราบฝ่ายได้เพราะเท่าที่ดูสถานการณ์มาตลอดทั้งวันแล้วชัดเจนที่รัฐบาลและตำรวจเลือกที่จะใช้ “ยาแรง” กับม็อบเสธ.อ้าย อย่างแน่นอน
ย้อนไปมองสถานการณ์ในวันที่ 24 พ.ย.ที่ลานพระบรมรูปทรงม้า ตั้งแต่เวลา 07.00 น. บรรยากาศการชุมนุมของกลุ่มองค์การพิทักษ์สยาม (อพส.) ที่นำโดย พลเอก บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ หรือ “เสธ.อ้าย” ผู้คนเริ่มทยอยหลั่งไหลมาจากทั่วสารทิศด้วยความหวังที่เต็มเปี่ยมและอุดมการณ์หนึ่งเดียวกันในการขับไล่รัฐบาลนอมินี “จอมปลวก” ของ “ทักษิณ” ที่มีน้องสาวอย่าง “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” เป็นตัวเดินหมากทางการเมืองแทน
เสธ.อ้าย ประกาศเดิมพันเลือกวันที่ 24 พ.ย.ที่วันรวมพลประชาชนนให้ออกมาแสดงพลังเคลื่อนไหวขับไล่ “รัฐบาลจอมปลวก” เนื่องจากดูฤกษ์ยามแล้วพบว่าเป็นวันที่เหมาะสมตามหลักดาราศาสตร์ เพราะถือเป็นวันธงชัย อีกทั้งเป็นวันเสาร์ที่ตรงกับวันหยุดราชการ หากดูสถานการณ์แล้วมีผู้มาร่วมชุมานุมตามที่ได้ตั้งเป้าไว้ก็จักสามารถลากยาวการชุมนุมได้ถึงวันอาทิตย์ทีเดียว
โดยบรรยากาศเริ่มนต้นเป็นไปอย่างคึกคัก และมีแนวโน้มว่าจะมีผู้เข้าร่วมชุมนุมเป็นจำนวนมาก บนเวทีปราศรัยที่มีการติดตั้งเครื่องเสียงและเต็นท์ขนาดใหญ่เพื่อเป็นหลังคา โดยมีการจัดกิจกรรมจากวงดนตรีสลับกับการขึ้นพูดปราศรัยของแนวร่วมต่างๆ อย่างต่อเนื่อง ส่วนการจราจรโดยรอบลานพระบรมรูปทรงม้า เจ้าหน้าที่ตำรวจตั้งจุดสกัดห้ามรถยนต์เข้ามายังบริเวณการชุมนุม ทำให้ผู้ชุมนุมต้องเดินเท้าเข้ามา ซึ่งส่วนใหญ่จะมีการเตรียมขวดน้ำ หมวกและพัดเข้ามาด้วย โดยมีผู้ชุมนุมบางส่วนกว่า 300 คน ไปรวมตัวกันบริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ เพื่อเจรจาขอเดินทางเข้าไปยังลานพระบรมรูปทรงม้าจากเส้นทางดังกล่าว แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจกว่า 2 กองร้อย ไม่อนุญาตให้ผ่านทางพร้อมประกาศผ่านโทรโข่ง ว่า “พื้นที่นี้เป็นพื้นที่ห้ามเข้าตาม พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ ฉะนั้นขอให้พี่น้องผู้เข้าร่วมชุมนุมเดินอ้อมไปเข้าทางนางเลิ้งแทน”
ต่อมาเมื่อเวลา 08.20 น.ที่บริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ กลุ่มผู้ชุมนุมกว่า 400 คน ยังคงพยายามเจรจาต่อรองอย่างต่อเนื่อง โดยผู้ชุมนุมบางส่วนได้พยายามเอารั้วหนามออก ก่อนจะพยายามรื้อแท่งคอนกรีตที่ขวางกั้นระหว่างผู้ชุมนุมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจออก ส่งผลให้ตำรวจมีการเพิ่มกำลังเป็น 5 กองหลัง ยืนแนวขวางเป็น 5 แถวตั้งรับผู้ชุมนุม
หลังจากนั้น เวลา 08.50 น.กลุ่มผู้ชุมนุมได้นำรถบรรทุก 6 ล้อ ติดเครื่องขยายเสียงที่มีการพูดปลุกระดมอย่างต่อเนื่อง ได้พยายามขับไปทางด้านซ้ายของช่วงกลางสะพานมัฆวาน ที่ได้มีการรื้อแท่นคอนกรีตที่ขวางทางออกไว้ก่อนหน้านี้แล้ว โดยมีผู้ชุมนุมเป็นชายฉกรรจ์กว่า 10 คน ได้วิ่งเข้าไปผลักดันกับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ใช้โล่ใสเป็นเวลานานกว่า 2 นาที และเมื่อรถบรรทุกคันดังกล่าวได้เคลื่อนตัวเข้ามาติดเจ้าหน้าที่ตำรวจที่กำลังผลักดันกับผู้ชุมนุม ก็มีเจ้าหน้าที่ตำรวจโยนแก๊สน้ำตาแบบขว้างมาจากทางด้านหลัง ทำให้เกิดควันสีขาวกระจายเต็มพื้นที่ดังกล่าว ส่งผลให้ผู้ชุมนุมแตกวงและวิ่งหลบหนีอย่างชุลมุน ส่วนเจ้าหน้าที่ตำรวจต่างถอยร่นออกไปด้านข้าง อย่างไรก็ตาม ผู้ชุมนุมบางส่วน รวมถึงรถบรรทุก 6 ล้อ สบโอกาสอาศัยช่วงชุลมุนวิ่งฝ่าวงล้อมตำรวจเข้าไป ก่อนตำรวจจะมีการขว้างแก๊สน้ำตารอบที่ 2 พร้อมดำเนินการจับกุมผู้ชุมนุมที่ฝ่าวงล้อมเข้าไป โดยหลังจากสถานการณ์สงบลงพบตำรวจบาดเจ็บ 5 นาย ผู้ชุมนุมหลายสิบราย และพบกระป๋องแก๊สน้ำตาที่ถูกใช้งานแล้วกว่า 10 กระป๋องในจุดที่เจ้าหน้าที่ขว้างเข้ามา ขณะที่ตำรวจก็เริ่มใส่ชุดหน้ากากป้องกันแก๊สน้ำตาพร้อมโล่และกระบองกลับมาวางแนวป้องกันเช่นเดิม
ขณะที่บนเวทีก็มีการปราศรัยโจมตีรัฐบาลเป็นระยะ โดยในเวลา 08.45 น.พิธีกรบนเวทีได้ระบุว่า ขณะนี้มีประชาชนที่จะเข้าร่วมชุมนุม ถูกสกัดกั้นอยู่บริเวณแยกสะพานมัฆวานรังสรรค์ และ ร.ต.แซมดิน เลิศบุศย์ เอากำลังไป และเชิญชวนผู้ที่มาถึงบริเวณที่ชุมนุมแล้ว ขอให้เดินไปรับผู้ที่จะเข้าร่วมชุมนุมแต่ถูกสกัดกั้นด้วย พร้อมกับเตือนผู้เข้าชุมนุมเตรียมผ้าเช็ดหน้า เพราะมีการใช้แก๊สน้ำตาแล้ว
ในขณะ เสธ.อ้าย เดินทางมาถึงบริเวณลานพระบรมรูปทรงม้า ในเวลาประมาณ 08.30 น.ซึ่งเป็นเวลาที่สถานการณ์กำลังคับขันที่บริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ และในเวลาต่อมาก็มีการใช้แก๊สน้ำตาเข้าสลากผู้ชุมนุมที่พยายามเข้าไปในเขตหวงห้ามที่วทางตำรวจได้ประกาศไว้ก่อนหน้านี้่
ตรงนี้คือจุดอ่อนและความเพลี่ยงพล้ำของ เสธ.อ้าย ในฐานะแกนนำที่ไม่สามารถควบคุมมวลชนไว้ได้ เมื่อวิเคราะห์โดยละเอียดการปล่อยให้มีภาพทางสื่อโทรทัศน์ออกไปตั้งแต่ช่วงสายๆวันที่ 24 พ.ย.เป็นการเข้าทางรัฐบาลและแผนกรกฎ 52 ที่ตำรวจได้เตรียมตั้งรับไว้
เท่ากับ เสธ.อ้าย ตกหลุมพลางที่ทาง พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ตร.ได้เขียนแผนกรกฎ 52 ซึ่งประยุกต์มาจากแผนกรกฎ 48 ที่ตนเองได้วางไว้กับมือ
“เข้าทางตำรวจ” เป็นไปตามการวางแผนของ พล.ต.อ.อดุลย์ ที่คาดการณ์ไว้ว่ามวลชนจะหลั่งไหลมาเป็นจำนวนมาก จึงได้มีการสั่งให้วางกำลังตำรวจจำนวน 112 กองร้อย มาควบคุมสถานการณ์ และปิดกั้นพื้นที่ช่วงระหว่างกลางถนนราชดำเนินบริเวณทำเนียบรัฐบาลไม่ให้สามารถผ่านเข้าออกได้ ตลอดจนด้านหลังพระบรมรูปทรงม้า ก็ไม่ให้ผ่านเช่นกัน ด้วยความมุ่งหวังที่จะสกัดกั้นไม่ให้มวลบชนสามารถรวมตัวกันได้เป็นกลุ่มก้อน เมื่อคนจำนวนมากมารวมตัวกัน “ร้อยพ่อพันแม่” มารวมกันจึงยากต่อการคอนโทรลมวลชนให้อยู่ในความสงบหากไม่มีการวางแผนการควบคุมที่ดีพอ
โดย พล.อ.บุญเลิศ ให้สัมภาษณ์ถึงจากกรณีตำรวจใช้แก๊สน้ำว่า ถือเป็นความชั่วร้าย ขอให้พี่น้องประชาชนมากันมากๆ การที่ตำรวจเป็นเครื่องมือรับใช้รัฐบาลถือว่าไม่ถูกต้อง เพราะเราไม่ได้ทำอะไรเลย ถือว่าเป็นการรังแกประชาชน ส่วนหมัดเด็ดต้องมีวันนี้แน่นอน แต่ขอให้คนมามากกว่านี้อีก
ผู้สื่อข่าวถามว่า สถานการณ์จะรุนแรงขึ้นหรือไม่ พล.อ.บุญเลิศ กล่าวว่า ตนคิดว่ามี เพราะตอนนี้ในต่างจังหวัดรถยังติดอยู่ ทั้งนี้ เรื่องดังกล่าวไม่มีมือที่ 3 เพราะตำรวจได้แสดงให้เห็นแล้ว โดยเราไม่มีการตอบโต้ และตนขอเรียกร้องให้ตำรวจหยุดรังแกประชาชน แต่ถ้าตำรวจยังรังแกประชาชนอยู่ ก็จะเรียกร้องให้ทหารออกมาปกป้อง นอกจากนี้ ตนยังได้ข่าวมาว่าในช่วงเที่ยง ตำรวจจะสลายการชุมนุม แต่ก็ไม่รู้ว่าเขาจะเอาอะไรมาสลาย
“หลังจากนี้ จะขอเวลา 3 ชั่วโมงประเมินสถานการณ์เพื่อยกระดับการชุมนุม เพราะตอนนี้คนยังเข้ามาร่วมชุมนุมไม่ได้ เพราะเขาพยายามแยกผู้ชุมนุมออกเป็นส่วนๆ” พล.อ.บุญเลิศ กล่าว และว่าตนได้มอบหมายให้ พล.อ.ณัฐชัย เพิ่มทรัพย์ รองประธาน อพส.ซึ่งรับหน้าที่เป็นผู้ประสานงานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจเกี่ยวกับมาตรการรักษาความปลอดภัย และขณะนี้การ์ด อพส.มี 1,400 คน
ต่อมาเมื่อเวลา 10.00 น.พล.อ.บุญเลิศ ขึ้นกล่าวบนเวทีปราศรัยถึงสถานการณ์การชุมนุมหลังมีผู้ชุมนุมถูกแก๊สน้ำตา โดยประกาศกับผู้ชุมนุมว่าจะต่อสู้ด้วยความสงบ พร้อมสัญญาว่า อพส.และภาคีเครือข่ายจะขับไล่รัฐบาลชุดนี้ออกไปให้ได้ รัฐบาลนี้ชั่วร้ายมาก ลุแก่อำนาจ ขณะเราชุมนุมโดยไม่มีอาวุธและไม่เคลื่อนย้าย รัฐบาลยังสั่งให้ตำรวจเอารั้วหนามมาปิดกั้น เพื่อให้ผู้ชุมนุมแบ่งเป็นส่วนๆ และทำร้ายประชาชนโดยใช้แก๊สน้ำตาใส่ผู้ชุมนุม รวมถึงมีการจับกุมผู้ชุมนุมร้อยกว่าชีวิตไปขังไว้ที่ทำเนียบรัฐบาล เพื่อยั่วยุให้เราบุกทำเนียบรัฐบาล ถ้าตำรวจยังเลิกทำร้ายประชาชน ตนจะขอกำลังทหารให้ออกมาช่วย ขณะนี้ทางเรากำลังเจรจาให้นำเครื่องกีดขวางบริเวณแยกมิสกวันออกไป
“อยากฝากถึงนายกฯ ให้ลาออกจากตำแหน่งได้แล้ว เพราะบริหารงานขาดคุณภาพและคุณธรรม และอยากฝากถึง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ถ้าอยากกลับประเทศไทยก็ให้มากราบพระบาทของในหลวง และติดคุกสัก 2-3 วัน” ประธาน อพส.กล่าว
ล่าสุด เมื่อเวลา 12.30 น.ที่บริเวณแยกมิสกวันยังเกิดความตึงเครียด เนื่องจากยังมีการเผชิญหน้าระหว่างกลุ่มผู้ชุมนุมที่ทยอยเดินทางมาสมทบอีกจำนวนมาก ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจาระหว่างแกนนำกลุ่มผู้ชุมนุมและนายตำรวจระดับสูง เพื่อให้เจ้าหน้าที่เปิดด่านสกัดแยกมิสกวันให้กลุ่มผู้ชุมนุมผ่านสะพานมัฆวานรังสรรค์เข้าไปสมทบกับกลุ่มผู้ชุมนุมที่ลานพระบรมรูปทรงม้า
ด้าน พล.ต.ต.อดุลย์ ณรงค์ศักดิ์ รอง ผบช.น.กล่าวว่า ขณะนี้ได้รับรายงานว่า มีคนทยอยเข้ามาชุมนุมที่บริเวณลานพระบรมรูปทรงม้า ประมาณ 6,000 คน และบริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์อีกประมาณ 400-500 คน ซึ่งทราบว่า ได้มีการเจรจากันอยู่ เพราะเนื่องจากกลุ่มผู้ชุมนุมจะพยายามเข้ามาในพื้นที่ชุมนุมชั้นในโดยเส้นทางดังกล่าว
“เจ้าหน้าที่ขอชี้แจงให้ประชาชนได้รับทราบว่า การกำหนดจุดตรวจยานพาหนะ ก่อนเข้าพื้นที่ชุมนุม ไม่ได้เป็นการปิดกั้นหรือขัดขวางการเข้าร่วมชุมนุม โดยเปิดช่องทางเข้าสู่บริเวณที่ชุมนุม 2 จุด คือ บริเวณทางแยกกองพล 1 และทางแยกวัดเบญจมบพิตร ทั้ง 2 จุดจะมีเจ้าหน้าที่คอยอำนวยความสะดวกและตรวจค้นอาวุธเพื่อความปลอดภัยของประชาชน” พล.ต.ต.อดุลย์ กล่าว
พล.ต.ต.อดุลย์ กล่าวอีกว่า ทางศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย ได้ออกคำสั่งฉบับที่ 4/2555 เรื่องห้ามการใช้ยานพาหนะในเส้นทางคมนาคม คือ ห้ามการใช้ยานพาหนะในเส้นทางคมนาคมดังต่อไปนี้ 1.ถนนศรีอยุธยา ตั้งแต่สะพานวัดเบญจมบพิตร ถึงแยกกองพล 1 และ 2.ลานพระราชวังดุสิต ห้ามไม่ให้จอดยานพาหนะทุกชนิดกีดขวางการจราจรในพื้นที่กำหนด
พล.ต.ต.อดุลย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ทั้งนี้ เมื่อเวลา 09.00 น.ที่ผ่านมา ได้มีเหตุการณ์กระทบกระทั่งระหว่างผู้ชุมนุมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ดูแลความสงบเรียบร้อยบริเวณแยกมัฆวานรังสรรค์ ซึ่งมีคำสั่งตามศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) ให้ปิดการจราจรโดยเด็ดขาด เพื่อความปลอดภัยของพี่น้องประชาชนแต่ถูกกลุ่มผู้ชุมนุมได้ใช้รถ 6 ล้อที่บรรทุกเครื่องเสียงขับฝ่าด่านตำรวจ จนมีเจ้าหน้าที่ได้รับบาดเจ็บ 5 นาย คือ 1. จ.ส.ต.ยุทธพงศ์ จันธิราช จากจังหวัดมหาสารคาม 2.ด.ต.ภานุวัฒน์ คนเพี้ยน จากจังหวัดหนองคาย 3. ด.ต.เอกพล สรลาภเจริญ จากจังหวัดมหาสารคาม 4.ด.ต.พรศักดิ์ อารมณ์ จากจังหวัดกาฬสินธุ์ และ 5.ร.ต.ต.ชอบ แก้วธานี จากจังหวัดมหาสารคาม โดยทั้งหมดถูกส่งรักษาตัวที่โรงพยาบาลวชิรพยาบาลเรียบร้อยแล้ว
อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ได้ควบคุมตัวผู้ที่ก่อเหตุสร้างความวุ่นวายจำนวนกว่า 100 คน และส่งไปที่กองบังคับการตำรวจตระเวนชายแดนภาค 1 จ.ปทุมธานี ซึ่งเป็นจุดที่ ศอ.รส.กำหนดไว้เพื่อความปลอดภัย พร้อมกับยึดสิ่งของทั้งอาวุธมีด 3 เล่ม กระสุนปืนขนาด .38 จำนวน 30 นัด หนังสติ๊ก วิทยุสื่อสาร และรถบรรทุก 6 ล้อยี่ห้ออีซูซุ สีฟ้า หมายเลขทะเบียน 81-8864 ราชบุรี พร้อมเครื่องเสียงและเครื่องปั่นไฟ แต่เจ้าหน้าที่ยังไม่ได้มีการแจ้งข้อหาแต่อย่างใด ซึ่งต้องรอตรวจสอบพยานหลักฐานก่อนว่ามีการกระทำผิดอะไรบ้าง
พล.ต.ต.อดุลย์ กล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตาม เมื่อเวลา 14.15 น.บริเวณสี่แยกสวนมิกสกวัน กลุ่มผู้ชุมนุมได้ใช้รถยนต์ 6 ล้อบรรทุกเครื่องเสียงผลักดันแนวกั้นของเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยเจ้าหน้าที่ได้เตือนแล้วแต่กลุ่มผู้ชุมนุมไม่ยอมเชื่อฟัง จึงใช้แก๊สน้ำตาจำนวน 5 ลูกและผลักดันผู้ชุมนุมเข้าไปอยู่ในแนวกั้น ซึ่งได้มีการชุลมุนกันอยู่ช่วงเวลาหนึ่ง และในขณะนี้สถานการณ์จึงเข้าสู่สภาวะปกติเรียบร้อยแล้ว
“จากการประเมินสถานการณ์กลุ่มผู้ชุมนุมทั้งหมดประมาณ 22,000 คน โดยอยู่บริเวณลานพระบรมรูปทรงม้าประมาณ 14,000 คน บริเวณสวนมิกสกวันประมาณ 4,000 คน ที่สะพานมัฆวานรังสรรค์ประมาณ 3,500 คน และบริเวณกองพล 1 อีกประมาณ 500 คน ทั้งนี้ จากการเจ้าหน้าที่ตำรวจปะทะกับกลุ่มผู้ชุมนุม จนมีเจ้าหน้าที่ได้รับบาดเจ็บและถูกนำส่งโรงพยาบาลตำรวจทั้งหมด 19 นาย สาหัส 2 ราย คือ จ.ส.ต.ยุทธพงศ์ จันธิราช และ ด.ต.นเรศ ศรีสุราษฎร์” พล.ต.ต.อดุลย์ ระบุ
“กรกฎ 52”
สำหรับแผน กรกฎ 52 ได้ปรับใช้มาจากแผน “กรกฎ 48” โดยเป็นการลดขั้นตอน แต่เพิ่มรายละเอียดในการปฏิบัติในส่วนของขั้นตอนการจับกุม และระบุขั้นตอนการจับกุมอย่างละเอียด เริ่มต้นที่การจับกุมด้วยมือเปล่า การใช้มือเปล่าล็อก หรือบังคับการใช้กุญแจมือ การใช้คลื่นเสียงก่อกวน แต่หากมีการใช้แก๊สน้ำตาแล้วยังไม่สามารถควบคุมสถานการณ์การชุมนุมได้ ก็เพิ่มขั้นตอนการใช้โล่ กระบอง กระสุน เครื่องช็อตไฟฟ้า เป็นขั้นตอนสุดท้าย นอกจากนี้ ยังระบุถึงอุปกรณ์ที่ใช้ในการควบคุมสถานการณ์การชุมนุม ต้องไม่ทำให้เป็นอันตรายถึงชีวิต โดยแต่ละขั้นตอน เจ้าหน้าที่จะประกาศผ่านสื่อมวลชนให้ประชาชน และผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องได้ทราบก่อนจะปฏิบัติการ
ทั้งนี้ การพัฒนาและปรับปรุง โดย พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ตร.ตั้งแต่สมัยยังดำรงตำแหน่งผู้ช่วย ผบ.ตร.ผ่านการศึกษาปัญหาข้อจำกัดต่างๆ ของแผนเดิม สู่การทำงานควบคุมฝูงชนที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ทันต่อสถานการณ์การชุมนุมที่เปลี่ยนแปลงไป รวมถึงปรับเปลี่ยนการจัดกำลัง ยุทธวิธี ยุทโธปกรณ์ เครื่องมือกฎการใช้กำลังและกฎหมายที่เกี่ยวข้องโดยยึดตามหลักมาตรฐานสากล พร้อมอุปกรณ์ที่ทันสมัย ประกอบด้วย รถติดระบบเครื่องเสียงที่มีระบบส่งสัญญาณรบกวนโสตประสาทหู รถแอลหลาดที่มีศักยภาพสูง มูลค่าเกือบ 30 ล้านบาท สามารถฉีดน้ำผสมแก๊สน้ำตา น้ำผสมสี หรือน้ำผสมโฟม และอุปกรณ์อื่นๆ อาทิ ปืนยิงแก๊ส ปืนยิงตาข่าย ปืนยิงกระสุนยาง ฯลฯ เพื่อเป็นหลักประกันให้ตำรวจมีความมั่นใจในการทำงาน