หญิงสาวที่ตกเป็นเหยื่อแก๊งค้ากามข้ามชาติ เปรียบเสมือนคนที่ตกนรกทั้งเป็น ชีวิตตกระกำลำบากในขุมนรกต่างแดน ถูกบังคับขายตัว หากไม่ยอมก็จะโดนทำร้ายทุบตี
ปัญหาดังกล่าวมีมานมนานแล้วไม่ใช่ว่าเพิ่งจะเริ่มเกิดจะขึ้นแต่อย่างใด หลายสิบปีก่อนมีหญิงไทยถูกหลอกไปค้ากามที่ญี่ปุ่นเป็นจำนวนมาก แม้ช่วงหลังจะมีการแก้ไขบทลงโทษเพิ่มขึ้น แต่กลุ่มแก๊งค้าเนื้อสดใจทรามก็ยังไม่หลาบจำ ยังคงก่อกรรมทำเข็ญกับหญิงสาวไม่เว้นแต่ละวัน โดยเฉพาะเดือนกันยายนที่ผ่านมาเพียงเดือนเดียว มีหญิงสาวชาวไทยที่ตกเป็นเหยื่อค้าประเวณีถึง 16 รายด้วยกัน
เหตุการณ์แรกเกิดขึ้นเมื่อ น.ส.เบลล์ (นามสมติ) อายุ 30 ปี ชาวกรุงเทพฯ ได้โทรศัพท์ทางไกลมาร้องทุกข์พนักงานสอบสวน บก.ปคม.ว่าถูกขบวนการค้ามนุษย์หลอกลวงให้ไปค้าประเวณีที่กรุงมัสกัต ประเทศโอมาน จากนั้น พ.ต.ท.ชูศักดิ์ อภัยภักดิ์ พนักงานสอบสวนชำนาญการพิเศษประสานไปยัง กองการต่างประเทศ (ตท.) กรมการกงสุล เพื่อแจ้งไปยังเจ้าหน้าที่สถานเอกอัครราชทูตไทย กรุงมัสกัต ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจประเทศโอมานเข้าช่วยเหลือ น.ส.เบลล์ ได้สำเร็จ
น.ส.เบลล์ เหยื่อแก๊งค้ามนุษย์ให้การว่า ก่อนหน้านี้มีนางปู หรือวรรณวิภา หรือณัฏฐ์ธยาน์ วัฒนาพงษากุล นายพิบูลย์ หรือเจนนี่ ละภักดี สาวประเภทสอง หลอกลวงว่ามีร้านนวดแผนไทยที่กรุงมัสกัต ต้องการพนักงานนวด มีรายได้เดือนละ 1 แสนบาท โดยทางผู้ต้องหาจะดำเนินการจ่ายค่าใช้จ่ายทั้งหมดให้ไปก่อน เมื่อเหยื่อหลงเชื่อเดินทางไปถึงโอมานมี น.ส.ไอศิกา หรือมายด์ เคางาม และหญิงชาวจีน มารอรับที่สนามบิน จากนั้นได้ยึดหนังสือเดินทางและกักขังบังคับให้ค้าประเวณีวันละ 10-15 ครั้งต่อวัน
จากนั้น พ.ต.อ.ชิตภพ โตเหมือน ผกก.1 บก.ปคม.นำกำลังจับกุมนางปู และนายพิบูลย์เอาไว้ได้พร้อมทั้งแจ้งข้อหาร่วมกันค้ามนุษย์โดยแสวงหาผลประโยชน์จากการค้าประเวณี
รายที่ 2 ทางมูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี เข้าแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน บก.ปคม.ว่ามีหญิงสาวชาวไทยอายุระหว่าง 22-34 ปี 5 ราย ว่าถูกหลอกไปค้าประเวณีที่ประเทศอินโดนีเซีย โดยมีชายวัยกลางคนชาวสิงคโปร์ซึ่งมาเช่าอพาร์ตเมนต์อยู่ในกรุงเทพฯ ชักชวนหญิงไทยทั้ง 5 คน ไปทำงานนวดแผนโบราณที่ประเทศอินโดนีเซีย อ้างว่ามีรายได้ดี โดยชายคนดังกล่าวนำภาพถ่ายของร้านที่ดูหรูหรามาโชว์เพื่อจูงใจ นอกจากนี้ชายคนดังกล่าวบอกว่าจะจ่ายค่าเดินทางสำรองให้ไปก่อน แต่จะหักหนี้เมื่อทั้งหมดได้ทำงานแล้ว
จากนั้นชายสิงคโปร์พร้อมกับหญิงสาวชาวไทยทั้ง 5 คน ได้เดินทางไปประเทศอินโดนีเซีย เมื่อไปถึงมีเพื่อร่วมแก๊งมารับที่สนามบินและนำไปคุมขังไว้ที่บ้านหลังหนึ่งในกรุงจาการ์ตา ก่อนบังคับให้ค้าประเวณี ระหว่างที่คนร้ายเผลอเหยื่อได้แอบส่งข้อความผ่านทางโทรศัพท์มือถือบอกญาติว่า “ต้องการกลับบ้านมาก ตอนนี้ถูกบังคับให้ขายตัว ออกไปไหนไม่ได้ ถูกยึดหนังสือเดินทาง โดนทำร้ายร่างกาย หากจะกลับบ้านต้องหาเงิน 7 หมื่นบาทไปไถ่ตัว หากไม่มีเงินจะถูกขายต่อไปยังประเทศอื่น” ญาติจึงแจ้งมูลนิธิปวีณาฯ ก่อนพาเข้าแจ้งความพนักงานสอบสวน บก.ปคม. จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจท้องที่เข้าช่วยเหลือไว้ได้
รายที่ 3 นายเอ (นามสมมติ) แจ้งพนักงานสอบสวน บก.ปคม.ว่า น.ส.แอน (นามสมมติ) แฟนสาวถูกหลอกไปขายตัวที่ประเทศบาร์เรน หากอยากกลับประเทศให้นำเงินมาหนี้ค่าเดินทางจำนวน 2 แสนบาท เจ้าหน้าที่จึงประสานตำรวจบาห์เรนเข้าช่วยเหลือไว้ได้
รายที่ 4 น้องสาว น.ส.อ้อย (นามสมมติ) เข้าแจ้งความว่า พี่สาวส่งข้อความมาบอกว่า “ขณะนี้ทุกข์ทรมานมาก ถูกบังคับให้ขายตัว หนังสือเดินทางก็ถูกยึด ถูกกักขังทำร้ายร่างกายและออกไปไหนไม่ได้เลย” เจ้าหน้าที่จึงประสานตำรวจบาห์เรนเข้าช่วยเหลือไว้ได้
รายที่ 5 นางออย (นามสมมติ) เข้าแจ้งความว่า น.ส.บี บุตรสาวอายุ 28 ปี ถูกหลอกไปค้าประเวณีที่ประเทศแอฟริกาใต้ โดยบุตรสาวบอกว่าถูกบังคับให้ค้าประเวณีทั้งวันทั้งคืน เพื่อหาเงินให้หนี้ค่าเดินทาง 3 แสนบาท นอกจากนี้ถูกชายผิวดำทำร้ายร่างกายจนได้รับบาดเจ็บ และกำลังถูกส่งไปขายตัวที่เมืองอื่น เจ้าหน้าที่จึงประสานตำรวจท้องที่เข้าตรวจสอบ พร้อมทั้งช่วยเหลือช่วยเหลือ น.ส.บี และหญิงสาวชาวไทยอีก 7 รายที่ถูกหลอกขายตัวในซ่องดังกล่าวเอาไว้ได้
พล.ต.ต.ชวลิต แสวงพืชน์ ผู้บังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการค้ามนุษย์ (บก.ปคม.) กล่าวว่าวิธีการหลอกลวงของแก๊งค้ามนุษย์นั้นจะอาศัยช่วงโอกาสที่หญิงไทยต้องการไปทำงานยังต่างประเทศ โดยเสนอวิธีการออกค่าเดินทางไปทำงานยังต่างประเทศเพื่อไปทำงานร้านอาหารหรือนวดแผนไทย แต่เมื่อไปถึงแล้วก็จะยึดหนังสือเดินทางแล้วบังคับขู่เข็ญให้ค้าประเวณีเพื่อใช้หนี้
จากที่ทาง บก.ปคม.ช่วยเหยื่อมาได้พบว่าเหยื่อส่วนใหญ่จะถูกหลอกไปค้าประเวณีที่ประเทศโอมานมากที่สุด ถัดมาก็คือ บาห์เรน ญี่ปุ่น แอฟริกาใต้ อินโดนีเซีย โดยผู้ต้องหาที่มาหลอกส่วนใหญ่เคยไปค้าประเวณีที่ประเทศนั้นมาก่อน ก่อนขึ้นชั้นร่วมกับเพื่อนร่วมแก๊งมาหลอกหญิงไทยว่ามีงานหมอนวดแผนโบราณ แม่บ้าน หรือมัคคุเทศก์มีรายได้ดี ตั้งแต่ 7 หมื่น - 1 แสนบาท โดยผู้ต้องหาจะดำเนินการจ่ายค่าเดินทางทุกอย่างทั้งค่าหนังสือเดินทาง ค่าเครื่องบิน ค่าอาหารและที่พักจนกว่าเหยื่อจะได้งานทำ จากนั้นก็ค่อยหักเงินทีหลัง
พล.ต.ต.ชวลิตกล่าวต่อว่า เมื่อเหยื่อเดินทางไปถึงประเทศต้นทาง ผู้ร่วมขบวนการในประเทศนั้นๆ ก็จะไปรับเหยื่อที่สนามบินและยึดหนังสือเดินทางไว้ ก่อนนำไปกักขังและบังคับให้ค้าประเวณี โดยอ้างว่าเพื่อจ่ายหนี้ค่าเดินทาง หากเหยื่อรายใดขัดขืนก็จะถูกชายฉกรรจ์ทำร้ายและทุบตีจนได้รับบาดเจ็บ
พล.ต.ต.ชวลิตกล่าวถึงขั้นตอนการช่วยเหลือหญิงไทยที่ถูกหลอกไปค้าประเวณีว่า เมื่อทางพนักงานสอบสวน บก.ปคม.ได้รับแจ้งจากญาติของเหยื่อ หรือทางผู้ตกเป็นเหยื่อเองแล้ว ทางพนักงานสอบสวนจะดำเนินการสอบปากคำ เพื่อหารายละเอียดให้มากที่สุด เช่นสถานที่หรือเมืองที่เหยื่อถูกกักขัง จุดสังเกตที่ใกล้เคียง จากนั้นจะทำการประสานตำรวจสากล เจ้าหน้าที่กองการต่างประเทศ (ตท.) กรมการกงสุล เพื่อจะร่วมกับตำรวจท้องที่เข้าช่วยเหลือเหยื่อให้ได้ทันท่วงที ก่อนที่เหยื่อจะถูกส่งไปขายยังซ่องที่อื่น ที่ผ่านมาทาง บก.ปคม.ทำการช่วยเหลือหญิงสาวที่ตกเป็นเหยื่อหลายราย พร้อมทั้งจับกุมผู้ต้องหามาดำเนินคดีได้แล้วหลายราย ส่วนเหยื่อก็จะมีองค์กรหรือหน่วยงานพัฒนาสังคมช่วยเหลือเยียวยาทางจิตใจ และส่งกลับประเทศต่อไป
“หากแรงงานโดยเฉพาะหญิงไทยที่มีคนมาชักชวนไปทำงานในลักษณะดังกล่าว อีกทั้งผู้ชักชวนอ้างว่ารายได้ดี และไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ ให้สันนิษฐานไว้ก่อนเลยว่าถูกหลอกลวงแน่นอน เพราะในความเป็นจริงแล้วไม่มีใคร หรือบริษัทที่ไหนหรอกจะใจดี ออกค่าเดินทางให้ก่อนล่วงหน้าหรอก” ผบก.ปคม.ฝากเตือน
“หากจะไปทำงานยังต่างประเทศจริงๆ ขอให้ตรวจสอบชื่อบริษัท ชื่อสถานประกอบการกับเจ้าหน้าที่กรมการจัดหางาน เพื่อจะได้ไม่ตกเป็นเหยื่อของแก๊งค้ามนุษย์ข้ามชาติได้ อย่างไรก็ตามหากพบเห็นการค้ามนุษย์หรือมีการโทรมาที่สายด่วน 1191 หรือ www.ahtd.go.th เพื่อให้การช่วยเหลือผู้ที่ตกเป็นเหยื่อให้ได้ทันท่วงทีต่อไป” ผบก.ปคม.กล่าวฝากทิ้งท้าย
ถือเป็นอุทาหรณ์สอนใจเตือนสติ “สาวไทย” ที่คิดจะไปขุดทองเมืองนอกได้เป็นอย่างดี!!!
ขืนปล่อยให้ความโลภเข้าครอบงำ...มีสิทธิ์ “ตกนรกทั้งเป็น” ถูกบังคับขายตัวอยู่ต่างแดน!