อดีต ผบ.สำนักคดีทรัพย์สินทางปัญญา ฟ้องแพ่ง “ธาริต เพ็งดิษฐ์” อธิบดีดีเอสไอ โยกย้ายไม่เป็นธรรม เรียกค่าเสียหาย 10 ล้านบาท พร้อมยันไม่ขอไกล่เกลี่ยคดีอาญา
ที่ศาลแพ่ง ถ.รัชดาภิเษก เมื่อเวลา 14.00 น.วันที่ 16 ต.ค.พ.อ.ปิยะวัฒก์ กิ่งเกตุ อดีต ผบ.สำนักคดีทรัพย์สินทางปัญญา กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ ซึ่งเป็นโจทก์ฟ้อง นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ และ นายชาญเชาวน์ ไชยานุกิจ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม จำเลยที่ 1-2 ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานร่วมกันปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ทำให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น ตาม ป.อาญา มาตรา 157 กรณีมีคำสั่งไปดำรงตำแหน่งผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านคดีพิเศษประเภทวิชาการ ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ต่ำกว่า ได้เดินทางมายื่นฟ้องในความผิดฐานละเมิด เรียกค่าเสียหายจำนวน 10 ล้านบาท
โดยคำฟ้องระบุว่า เนื่องจากการกระทำของจำเลยทั้งสอง ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายต่อชื่อเสียง เกียรติคุณ ที่โจทก์สะสมคุณงามความดีและปฏิบัติราชการด้วยความซื่อสัตย์สุจริตมาโดยตลอด นอกจากนี้ โจทก์ยังเสียหายต่อทางทำมาหาได้ในการประกอบอาชีพนักกฎหมายในอนาคต ซึ่งศาลรับคำฟ้องไว้เป็นคดีหมายเลขดำที่ 4308/2555 พร้อมนัดพิจารณาในวันที่ 17 ธ.ค.เวลา 13.30 น.
นอกจากนี้ พ.อ.ปิยะวัฒก์ กิ่งเกตุ อดีต ผบ.สำนักคดีทรัพย์สินทางปัญญา กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ ยังได้เดินทางไปยัง ศูนย์ไกล่เกลี่ยและประนอมข้อพิพาท ของศาลอาญา เพื่อยื่นคำร้องและแจ้งความประสงค์จะไม่ไกล่เกลี่ยและให้ศาลอาญาไต่สวนมูลฟ้องในวันที่ 19 พ.ย.2555 เวลา 09.00 น.ตามกำหนดนัด
โดยระบุในคำร้องสรุปว่า คดีนี้โจทก์ได้ยื่นฟ้องจำเลยทั้งสองต่อศาลนี้แล้ว และได้นัดไต่สวนมูลฟ้องในวันที่ 19 พ.ย.2555 ซึ่งโจทก์ได้รับความเสียหายจากการกระทำของจำเลยทั้งสองคนในคดีนี้ โดยไม่ยำเกรงต่อกฎหมายแต่อย่างใด การที่โจทก์ฟ้องคดีนี้ก็เพื่อให้ได้รับโทษตามกฎหมาย นอกจากนี้ เพื่อเป็นการป้องกันและป้องปรามมิให้ผู้บังคับบัญชากระทำต่อผู้ใต้บังคับบัญชา ในการโยกย้ายในระดับต่ำกว่าเดิม หรือในกรณีละเว้นหน้าที่ตามกฎหมาย ซึ่งกฎหมายได้บัญญัติไว้โดยเฉพาะ “พนักงานสอบสวนคดีพิเศษ หรือข้าราชการหรือข้าราชการพลเรือน หรือพนักงานองค์กรของรัฐ หรือเจ้าหน้าที่รัฐ หรือพนักงานอื่นใดๆ ซึ่งมีอยู่ทั่วราชอาญาจักร มิให้ผู้บังคับบัญชาลุแก่อำนาจและเจตนาละเมิดต่อกฎหมาย ซึ่งได้กระทำต่อผู้ใต้บังคับบัญชา ซึ่งมีอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งคดีนี้จะเป็นคดีมีอุทาหรณ์และเป็นบรรทัดฐาน กรณีผู้บังคับบัญชาได้ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ กับผู้ใต้บังคับบัญชาของตนในการให้คุณหรือให้โทษ หรือเป็นการเจตนากลั่นแกล้ง เพื่อให้เกิดความเสียหาย นอกจากนั้น ผลจากการฟ้องคดีนี้ ก็เพื่อให้ศาลชี้กรรมหรือการกระทำของจำเลยทั้งสอง ที่ได้กระทำตามฟ้องว่า เป็นความผิดทางอาญาหรือไม่ ซึ่งโจทก์ใคร่ขอกราบเรียนต่อศาลอาญา ว่า โจทก์ขออนุญาตดำเนินคดีกับจำเลยทั้งสองจนกว่าคดีจะถึงที่สุด โดยไม่ขอไกล่เกลี่ย ซึ่งในวันนัดไต่สวนมูลฟ้อง วันที่ 19 พ.ย.2555 โดยจะไม่ขอเลื่อนคดี เพื่อมิให้คดีเกิดความล่าช้าในการดำเนินคดีตามกระบวนการยุติธรรม นอกจากนี้ได้ขอให้ศาลอนุญาตสื่อมวลชน เจ้าหน้าที่ ป.ป.ช.และ ป.ป.ท.เข้าร่วมฟังการพิจารณาคดี เนื่องจากเห็นว่าคดีน่าเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ
พ.อ.ปิยะวัฒก์ เปิดเผยว่า สำหรับเหตุผลที่ไม่ประสงค์จะไกล่เกลี่ยคดี มีอยู่ 2 ประเด็น คือ 1.เป็นการเสนอย้ายตนไปดำรงตำแหน่งที่ต่ำกว่า 2.มีการกล่าวหาว่าตนปฏิบัติหน้าที่บกพร่อง ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ตามหลักขั้นตอน หากมีข้าราชการปฏิบัติหน้าที่บกพร่อง ก็จะต้องส่งเรื่องไปยังคณะกรรมการพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ (กพศ.) เป็นผู้พิจารณา ก่อนจะส่งเรื่องไปให้สำนักปลัดกระทรวงยุติธรรม ซึ่งกรณีนี้ นายกิตติพงษ์ กิตยารักษ์ ปลัดกระทรวงยุติธรรมก็เคยทักท้วงแล้ว แต่ภายหลัง นายชาญเชาวน์ ไชยานุกิจ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม ปฏิบัติหน้าที่ราชการแทนปลัดกระทรวงยุติธรรมกลับเห็นชอบในคำสั่งโยกย้ายตนดังกล่าว รวมทั้งเพื่อให้ข้าราชการที่ถูกโยกย้ายโดยไม่เป็นธรรมได้มีแนวทางในการต่อสู้ดำเนินคดีตามช่องทางของกฎหมาย
นายสงกรานต์ อัจฉริยะทรัพย์ ทนายความ กล่าวว่า ในวันไต่สวนมูลฟ้อง 19 พ.ย.นี้ จะมีการนำเสนอหลักฐานเกี่ยวกับคดีสำคัญ ซึ่งเป็นมูลเหตุที่ทำให้โจทก์โดนโยกย้ายจึงอยากให้ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง กับการตรวจสอบการทุจริต เช่น ป.ป.ช. ป.ป.ท.พรรคร่วมรัฐบาล หรือพรรคฝ่ายค้าน ได้มาฟังการพิจารณาคดี เพราะจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ และคาดว่า ในวันนั้นจะมีข้าราชการทั้งในดีเอสไอ และหน่วยงานอื่นๆ ซึ่งถูกโยกย้ายไม่เป็นธรรมเดินทางมาให้กำลังใจจำนวนมาก