ศาลอาญาไต่สวนมูลฟ้องคดีที่อดีตทนายความ “เสก โลโซ” ยื่นฟ้องอดีตภรรยาของนักร้องดัง ฐานหมิ่นประมาท กรณีโพสต์เฟซบุ๊กพาดพิงถึงเจ้าตัว กล่าวหาขี้ขโมย เชื่อถือไม่ได้ ศาลนัดสืบพยานอีก 1 ปาก 4 ก.ค.นี้
วันนี้ (11 มิ.ย.) ที่ห้องพิจารณา 707 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดไต่สวนมูลฟ้องคดีหมายเลขดำ อ.963/2555 ที่นายอุดม โปร่งฟ้า อดีตทนายความของนายเสกสรร ศุขพิมาย หรือเสก โลโซ นักร้องเพลงร็อกชื่อดัง เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นางวิภากร หรือกานต์ ศุขพิมาย อดีตภรรยา เป็นจำเลยในความผิดฐานหมิ่นประมาทผู้อื่นโดยการโฆษณา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 และ 328 กรณีเมื่อวันที่ 19 ม.ค. 55 จำเลยเขียนข้อความบนหน้ากระดานเฟซบุ๊กส่วนตัวของจำเลย พาดพิงถึงโจทก์และทรัพย์สินของนายเสกสรร
โดยเมื่อถึงเวลานัด นายอุดม โปร่งฟ้า เป็นพยานขึ้นเบิกความด้วยตนเองสรุปว่า นายเสกสรรได้มอบอำนาจให้พยานเป็นผู้ดูแลทรัพย์สิน เนื่องจากนายเสกสรรมีอาการทางจิต และได้ถูกส่งตัวไปรักษาที่สถาบันธัญญารักษ์เมื่อวันที่ 27 ธ.ค. 2554 ระหว่างเดินทางกลับ พยานได้พูดคุยกับจำเลยให้ช่วยดูแลจัดการงานบ้าน ส่วนเรื่องทรัพย์สิน เอกสารทางการเงิน และปืนของนายเสกสรรจะให้นางปลิว ศุขพิมาย แม่ของนายเสกสรรเป็นผู้เก็บรักษา ต่อมาเวลา 21.00 น. จำเลยได้โทร.แจ้งพยานขอเป็นผู้เก็บรักษาทรัพย์สินดังกล่าว พยานได้ปฏิเสธไป แต่จำเลยยังโทรศัพท์มารบเร้าพยานหลายครั้ง พร้อมทั้งขู่จะฟ้องดำเนินคดีต่อพยานด้วย จากนั้นวันที่ 6-10 ม.ค. 2555 จำเลยได้โพสต์ข้อความเท็จหลายข้อความ ลงในเฟซบุ๊กส่วนตัวของจำเลย ซึ่งเป็นระบบอินเทอร์เน็ตที่คนทั่วไปสามารถเข้าไปอ่านข้อความได้ ในทำนองว่า พยานเป็นคนไม่ดี มีนิสัยลักขโมย พูดจาเชื่อถือไม่ได้ และจ้องยักยอกเงินของนายเสกสรร และมีการพิมพ์ข้อความโต้ตอบระหว่างสมาชิกและจำเลยอีกหลายครั้ง ทั้งที่ความจริงแล้วพยานไม่เคยมีพฤติการณ์ตามที่จำเลยพิมพ์ข้อความไว้ ตรงกันข้าม พยานเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายในการรักษานายเสกสรร การกระทำของจำเลยทำให้พยานได้รับความเสียหาย ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง
ภายหลังพยานได้นำข้อความดังกล่าวมาฟ้องแพ่งและอาญา และศาลอาญารับคำฟ้องไว้พิจารณาในหมายเลขคดีดำที่ อ.119/2555 แล้ว จำเลยยังได้โพสต์ข้อความเท็จอีกหลายครั้ง ในวันที่ 19 ม.ค. 2555 ทำนองว่า พยานอยากดังและอยากได้เงินของนายเสกสรร ซึ่งมีเพื่อนสมาชิกของจำเลยเข้ามาโพสต์แสดงความคิดเห็นอีกด้วย โดยข้อความที่จำเลยโพสต์ทำให้พยานเสียหาย เนื่องจากประชาชนที่ได้อ่านข้อความจะคิดว่าพยานอยากดัง หิวเงิน อยากได้เงินของนายเสกสรรหรือของจำเลย ซึ่งตามข้อเท็จจริงแล้วพยานไม่จำเป็นต้องเป็นทนายความให้นายเสกสรร พยานก็มีชื่อเสียงอยู่แล้ว เพราะพยานเป็นที่ปรึกษาของบุคคลที่มีชื่อเสียงหลายคน และมีรายได้ต่อเดือนจำนวนมาก การที่พยานเป็นทนายให้นายเสกสรรไม่เคยได้รับเงินว่าจ้างแม้แต่บาทเดียว และพยานไม่เคยเข้าไปเกี่ยวข้องกับเงินของจำเลยแต่อย่างใด ส่วนที่พยานฟ้องแพ่งและอาญาก็เป็นการใช้สิทธิทางศาลของพยาน เนื่องจากพยานเคยขอให้จำเลยหยุดโพสต์ข้อความหลายครั้ง แต่จำเลยไม่ยอมหยุด
จากนั้นทนายจำเลยได้ซักค้านพยานว่า เหตุใดพยานถึงทราบข้อความหมิ่นของจำเลยจากเว็บไซต์เฟซบุ๊ก นายอุดมกล่าวว่า มีคนในสำนักงานทนายความของพยานเห็นข้อความ จึงเปิดให้พยานดู ซึ่งพยานเชื่อว่าเฟซบุ๊กดังกล่าวเป็นของจำเลยจริง เพราะในเฟซบุ๊กใช้ชื่อและนามสกุลจริงของจำเลย อีกทั้งยังมีรูปภาพของจำเลยด้วย นอกจากนี้ในการแถลงข่าวนั้น จำเลยยอมรับว่าเป็นผู้โพสต์ข้อความดังกล่าวจริง และจำเลยไม่เคยปฏิเสธว่าเฟซบุ๊กไม่ใช่ของตัวเอง
ภายหลังสืบพยานรายนี้เสร็จ ศาลได้นัดสืบพยานอีก 1 ปาก ในวันที่ 4 ก.ค. เวลา 09.30 น.