ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ จำคุก “ชูวิทย์-เสธ.หิ-เสธ.แอ๊ป” คนละ 5 ปี ไม่รอลงอาญา คดีรื้อบาร์เบียร์สุขุมวิทซอย 10 ชี้พฤติการณ์ร่วมกันบุกรุก แบ่งหน้าที่กันทำ เพิ่มโทษทนายความจากจำคุก 8 เดือน เป็น 5 ปี
วันนี้ (11 ก.ย.) ที่ห้องพิจารณา 601 ศาลอาญากรุงเทพใต้ ศาลอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีรื้อบาร์เบียร์ ภายในซอยสุขุมวิท10 คดีหมายเลขดำ ด.2150/2546 ที่อัยการฝ่ายคดีอาญากรุงเทพใต้ และกลุ่มผู้ค้ารวม 44 ราย ร่วมกันเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง จ.ส.อ.อภิชาต ริมมสาร,นายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรครักประเทศไทย อดีตผู้บริหารบริษัท สุขุมวิท ซิลเวอร์สตาร์, พ.ท.หิมาลัย ผิวพรรณ นายทหารฝ่ายเสนาธิการประจำหน่วยบัญชาการทหารพัฒนา บก.สส. (ตำแหน่งเมื่อปี 2546), พ.ต.ธัญเทพ ธรรมธร นายทหารสังกัดกองพันทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ ( ตำแหน่งเมื่อปี 2546) และพวกรวม 130 คน เป็นจำเลยที่ 1-130 ในความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์, บุกรุกในเวลากลางคืน และกักขังหน่วงเหนี่ยวข่มขืนใจให้บุคคลปราศจากเสรีภาพ
คดีนี้โจทก์ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 17 มี.ค.2546 ว่าเมื่อช่วงเช้ามืดเวลา 04.00 น.วันที่ 26 ม.ค. 2546 มีกลุ่มชายฉกรรจ์หลายร้อยคนแต่งกายชุดซาฟารี พร้อมรถแบ็กโฮบุกเข้าทำลายร้านบาร์เบียร์ 60 ร้าน ซึ่งตั้งอยู่บนเนื้อที่กว่า 10 ไร่ บริเวณสุขุมวิทสแควร์ ซอยสุขุมวิท 10 ถนนสุขุมวิท แขวงและเขตคลองเตย กรุงเทพฯ เสียหายราบเป็นหน้ากลอง
เนื่องจากกลุ่มนายทุนกลุ่มใหม่ได้ว่าจ้างให้เข้าไปรื้อร้านค้าของผู้เช่าเดิมเพื่อใช้พื้นที่ทำประโยชน์ จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการสืบสวนสอบสวนจนสามารถดำเนินคดีกับผู้ต้องหาทั้งสิ้นจำนวน 130 คน อาทิ นายชูวิทย์, พ.ท.หิมาลัย ผิวพรรณ หรือ เสธ.หิ, พ.ต.ธัญเทพ ธรรมธร หรือ เสธ.แอ๊ป โดย พ.ต.ธัญเทพ และนายชูวิทย์ นั้นได้เข้ามอบตัวในภายหลัง โดยพนักงานสอบสวนใช้เวลารวบรวมพยานหลักฐานกว่า 2 เดือน จึงนำตัวผู้ต้องหาทั้งหมดส่งฟ้องเมื่อวันที่ 13 มี.ค. 2546 โดยทั้งหมดให้การปฏิเสธ
คดีนี้ศาลอาญากรุงเทพใต้ มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 13 ก.ค. 2549 พิพากษาให้จำคุก 1 ปีนายชาญเวทย์ มาลัยบูชา จำเลยที่ 49 ซึ่งเป็นทนายความนำเอกสารสิทธิ์การครอบครองที่ดินไปแจ้งต่อพนักงานสอบสวน สน.ลุมพินี ให้ลงบันทึกประจำวัน ช่วงเวลาเดียวกับที่กลุ่มชายฉกรรจ์กำลังรื้อถอน เพื่อใช้เป็นเครื่องมือให้ผู้อื่นเข้าใจว่าการรื้อถอนถูกกฎหมาย และหาผู้ร่วมดำเนินการ ตามความผิดประมวลกฎหมายอาญา ม.358, 365 (2) (3) ประกอบ 362, 83 และ 86 ฐานเป็นผู้สนับสนุนให้ร่วมกันบุกรุกในเวลากลางคืน แต่ศาลเห็นว่าคำให้การในชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 49 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง จึงลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 8 เดือน ส่วนจำเลยอื่นศาลยกประโยชน์แห่งความสงสัย ให้ยกฟ้อง ภายหลังทั้งโจทก์ โจทก์ร่วม และนายชาญเวทย์ จำเลยที่ 49 ได้ยื่นอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ประชุมตรวจสำนวนแล้วเห็นว่า คดีนี้โจทก์มีผู้ค้าซึ่งเป็นผู้เสียหายเป็นพยาน รวมทั้งเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่เกิดเหตุ
เบิกความยืนยันว่า กลุ่มจำเลยได้เดินเข้ามาดูลาดเลาในพื้นที่ก่อนเกิดเหตุ และเมื่อเกิดเหตุแล้ว จำเลยบางคนได้กันให้ผู้ค้าออกจากพื้นที่ และห้ามให้ผู้เกี่ยวข้องเข้ามาในพื้นที่ โดยจำเลยบางคนได้นำรถแบ็กโฮเข้ามารื้อถอนร้านค้า นอกจากนี้ยังมีเจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งเป็นพยานโจทก์
เบิกความยืนยันว่า ภายหลังรับแจ้งเหตุ เมื่อเข้าไปตรวจสอบในพื้นที่ก็พบจำเลยบางคนอยู่ในพื้นที่ด้วย พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมาจึงมีน้ำหนักให้รับฟังได้ว่า พฤติการณ์ของพวกจำเลยได้ร่วมกันบุกรุกเข้าไปในที่เกิดเหตุ และแบ่งหน้าที่กันทำ
จึงพิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1, 3, 7-11, 13-14, 18, 21, 40-47, 49-51, 56-59, 61-62, 64-74, 76-79, 81, 83-85, 88, 90, 92, 94, 96, 99, 102, 104, 106-113, 115, 117-123, 125, 128-130 รวม 66 คน มีความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์โดยใช้กำลังประทุษร้าย โดยมีอาวุธ ในเวลากลางคืน ตามมาตรา 358, 365 (1)(2)(3) ประกอบมาตรา 362 และ 83 โดยจำเลยที่ 73 และ112 ยังมีความผิดตามมาตรา 309 วรรคสอง ฐานข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใดโดยมีอาวุธ หรือโดยร่วมกระทำผิดตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป ซึ่งการกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษตามมาตรา 365 (1)(2)(3) ซึ่งเป็นบทหนักสุด จำคุกจำเลยคนละ 5 ปี ส่วนจำเลยที่เหลืออีก 64 คน พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ยกฟ้อง
แต่ในส่วนจำเลยที่ 21, 68, 81, 96, 99 และ122 เนื่องจากอายุยังไม่เกิน 20 ปี ศาลจึงเห็นสมควรลดโทษให้หนึ่งในสามตามมาตรา 76 คงจำคุกจำเลยทั้ง 6 คนๆ ละ 3 ปี 4 เดือน
นอกจากนี้ในส่วนของจำเลยที่ 42, 44, 47, 51, 68, 99 และ 120 ศาลให้บวกโทษจำคุกที่เคยรอลงอาญาไว้ในคดีอื่นด้วย จึงให้จำคุกจำเลยที่ 42 เป็นเวลา 5 ปี 3 เดือน, จำเลยที่ 44 จำคุก 5 ปี 15 วัน, จำเลยที่ 47 และ 120 จำคุกคนละ 5 ปี 6 เดือน, จำเลยที่ 51 จำคุก 7 ปี, จำเลยที่ 68 จำคุก 3 ปี 4 เดือน 15 วัน, และจำเลยที่ 99 จำคุก 3 ปี 10 เดือน
ภายหลังฟังคำพิพากษา นายชูวิทย์ จำเลยที่ 129 ได้รับการปล่อยชั่วคราวระหว่างฎีกา โดยไม่ต้องใช้หลักทรัพย์ เนื่องจากศาลเห็นว่า เป็น ส.ส.อยู่ระหว่างเปิดสมัยประชุม ขณะที่ นายชูวิทย์ ที่เดินทางมาศาลพร้อมภรรยา กล่าวเพียงสั้นๆด้วยสีหน้าเศร้าว่า “จะขอสู้ถึงฎีกา” ก่อนเดินทางกลับทันที
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับ พ.ท.หิมาลัย จำเลยที่ 128 พ.ต.ธัญเทพ จำเลยที่ 130 และนายชาญเวทย์ จำเลยที่ 49 ที่ถูกศาลอุทธรณ์พิพากษาจำคุก 5 ปีเช่น ขณะนี้ได้ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์เป็นเงินสดและโฉนดที่ขอปล่อยชั่วคราวระหว่างฎีกา ต่อมาศาลอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว โดยตีราคาประกันคนละ 5 แสนบาท