ASTVผู้จัดการ – “ชูวิทย์” เผยผ่านเฟซบุ๊กรับท้อแท้และหวั่นไหวต่อคำตัดสินศาลอุทธรณ์สั่งจำคุก 5 ปีไม่รอลงอาญาจากคดีรื้อบาร์เบียร์สุขุมวิทเมื่อปี 2546 ขอโทษประชาชน ยืนยันจะสู้ต่อในชั้นฎีกา พร้อมโพสต์ภาพหนังสือที่เขียนระหว่างติดคุก 1 เดือน
จากกรณีที่วันนี้ (11 ก.ย.) ศาลอาญากรุงเทพใต้ ศาลอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีรื้อบาร์เบียร์ ภายในซอยสุขุมวิท 10 คดีหมายเลขดำ ด.2150/2546 ที่อัยการฝ่ายคดีอาญากรุงเทพใต้ และกลุ่มผู้ค้ารวม 44 ราย ร่วมกันเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง จ.ส.อ.อภิชาต ริมมสาร, นายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรครักประเทศไทย อดีตผู้บริหารบริษัท สุขุมวิท ซิลเวอร์สตาร์, พ.ท.หิมาลัย ผิวพรรณ นายทหารฝ่ายเสนาธิการประจำหน่วยบัญชาการทหารพัฒนา บก.สส. (ตำแหน่งเมื่อปี 2546), พ.ต.ธัญเทพ ธรรมธร นายทหารสังกัดกองพันทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ (ตำแหน่งเมื่อปี 2546) และพวกรวม 130 คน เป็นจำเลยที่ 1-130 ในความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์, บุกรุกในเวลากลางคืน และกักขังหน่วงเหนี่ยวข่มขืนใจให้บุคคลปราศจากเสรีภาพ โดยนายชูวิทย์ จำเลยที่ 129 ซึ่งถูกตัดสินจำคุก 5 ปี ไม่รอลงอาญา แต่ได้รับการปล่อยชั่วคราวระหว่างฎีกา โดยไม่ต้องใช้หลักทรัพย์ เนื่องจากศาลเห็นว่า เป็น ส.ส.อยู่ระหว่างเปิดสมัยประชุม ขณะที่ นายชูวิทย์ ที่เดินทางมาศาลพร้อมภรรยา กล่าวเพียงสั้นๆด้วยสีหน้าเศร้าว่า “จะขอสู้ถึงฎีกา” ก่อนเดินทางกลับ
ล่าสุดในช่วงค่ำที่ผ่านมา นายชูวิทย์ได้โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊กส่วนตัว “ชูวิทย์ I'm No.5” ซึ่งมีแฟนเพจมากกว่า 160,000 คน โดยระบุว่าตนเองยอมรับว่ารู้สึกท้อแท้และหวั่นไหวต่อคำตัดสินดังกล่าวบ้าง แต่ตนก็ยอมรับในคำตัดสินของศาล และขอสู้ต่อในชั้นฎีกา
“อย่าเพิ่งหัวเราะเยาะ อย่าเพิ่งตัดสินผม จนกว่าจะถึงวันที่ศาลฎีกาอ่านคำพิพากษา ขอบคุณสำหรับกำลังใจ (ถ้ามี) ส่วนคำวิพากวิจารณ์ขอรับฟัง เป็นธรรมดาของมนุษย์ โบราณเขาบอก ‘คนรักเท่าผืนหนัง คนชังเท่าผืนเสื่อ’" นายชูวิทย์ระบุ พร้อมกับโพสต์ภาพหนังสือเรื่อง “คำสารภาพบาป สักวันผมจะฆ่าตัวตาย” ซึ่งนายชูวิทย์เขียนไว้ระหว่างใช้ชีวิตอยู่ในเรือนจำจากคดีดังกล่าวเป็นเวลาหนึ่งเดือน
สำหรับข้อความที่นายชูวิทย์โพสต์มีเนื้อหาทั้งหมดดังนี้
“วันนี้ได้รับฟังคำพิพากษาคดีรื้อบาร์เบียร์ เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อปี 46 เมื่อผมซื้อที่ดินแปลงนี้มาจากบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ tisco และมีผู้ที่เช่าอยู่ในที่ดินแปลงนี้ติดมาด้วย ผมได้ทำสัญญาเช่าต่อให้กับบริษัทหนึ่ง หลังจากนั้นก็มีการรื้อถอนตามที่เป็นข่าว
“ผมถูกจับกุมและถูกขังคุกอยู่ 1 เดือน แล้วประกันตัวออกมา การต่อสู้ทางคดีศาลชั้นต้นได้ยกฟ้อง วันนี้มาฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ได้พิพากษากลับ ลงโทษจำคุก 5 ปี 4 เดือน ผมไปฟังคำพิพากษาในขณะที่ยังอยู่ในวาระการประชุมสภาฯเพราะเห็นว่าไม่เกี่ยวข้องกัน ผมจึงเดินทางไปฟังโดยไม่ได้ใช้เอกสิทธิ์คุ้มครองแต่อย่างใด แต่เมื่อศาลมีคำพิพากษาจำคุก เนื่องจากอยู่ในสมัยประชุม ผมจึงไม่ต้องประกันตัว
“เป็นธรรมดาของปุถุชนย่อมเกิดการท้อแท้หวั่นไหว แต่ผมจะพยายามไม่ให้กระทบต่องานเพื่อส่วนรวม เพราะมีข้อมูลอีกจำนวนมากที่เตรียมจะเปิดเผย ต้องขอโทษด้วย ลูกผู้ชายชั่ว 7 ที ดี 7 หน ข้อดีของระบบยุติธรรมในประเทศนี้คือมี 3 ศาล เมื่อศาลชั้นต้นยก ศาลอุทธรณ์ลงโทษ ผมยังเหลือศาลฎีกาให้พิสูจน์อีกศาล
“อย่าเพิ่งหัวเราะเยาะ อย่าเพิ่งตัดสินผม จนกว่าจะถึงวันที่ศาลฎีกาอ่านคำพิพากษา ขอบคุณสำหรับกำลังใจ (ถ้ามี) ส่วนคำวิพากวิจารณ์ขอรับฟัง เป็นธรรมดาของมนุษย์ โบราณเขาบอก "คนรักเท่าผืนหนัง คนชังเท่าผืนเสื่อ"
“นี่เป็นภาพปกจากหนังสือที่ผมเขียนไว้เมื่อปี 47 ในขณะที่ผมถูกขังอยู่ในเรือนจำเป็นระยะเวลา 1 เดือน หนังสือเล่มนี้ผมได้เขียนถึงเรื่องราวต่างๆในขณะนั้น มีเรื่องราวเบื้องหลังมากมาย เป็นเหตุการณ์ความจริงที่พูดไม่ได้ และยังคงอยู่กับผมไปจนวันตาย”