xs
xsm
sm
md
lg

ธรณีนี่นี้...ใครมีสิทธิครอง ?

เผยแพร่:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม

เชื่อว่า...คนไทยทุกคนที่ได้เกิดและเติบโตอยู่บนผืนแผ่นดินไทยใต้ร่มพระบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ถือเป็นผู้ที่โชคดีที่สุดแล้ว... เพราะแผ่นดินผืนนี้เปรียบเสมือน “แผ่นดินธรรม แผ่นดินทอง” ที่เต็มไปด้วยความอุดมสมบูรณ์อย่างมากหากจะเทียบกับหลายๆ ประเทศในโลก แต่ปัจจุบันพื้นที่อันอุดมสมบูรณ์ดังกล่าวได้ถูกทยอยแปรสภาพไปเป็นบ้านจัดสรรบ้าง โรงงานอุตสาหกรรมบ้าง ตลอดจนอาคารสถานที่ต่างๆ จนทำให้เหลือพื้นที่ในการทำเกษตรกรรมน้อยลงไปทุกที...

ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการเติบโตทางเศรษฐกิจ การเปลี่ยนแปลงทางสังคมและการรับค่านิยมสมัยใหม่ ทำให้ผู้ที่จะสืบทอดอาชีพเกษตรกรรม ทำนา ทำสวน ทำไร่ ดังเช่น อาทิจกับดรุณี อย่างในละครเรื่องธรณีนี่นี้ใครครอง คงมีน้อยลง ส่วนใหญ่ต้องการขายที่ดินเพื่อนำเงินไปทำอย่างอื่นมากกว่า... แต่ผมเชื่อว่าสุดท้ายแล้วคนที่ไม่ขายที่ดินและดำเนินชีวิตตามหลักเศรษฐกิจพอเพียงของพ่อหลวงของเรา จะเป็นผู้ที่มีความสุขอย่างยั่งยืนที่สุดครับ...

เรื่องเล่าจากคดีปกครองในวันนี้... ผมขอนำเรื่องราวของผู้ฟ้องคดี 22 ราย ที่พยายามต่อสู้เพื่อให้ได้สิทธิครอบครองในที่ดินที่พวกตนอยู่อาศัยมายาวนาน โดยที่ดินดังกล่าวเป็นที่ดินที่ได้ถูกทางราชการกำหนดให้เป็นเขตป่าชายเลนซึ่งต้องห้ามมิให้มีการออกเอกสารสิทธิ แต่ให้มีสิทธิในการทำกินหรือทำประโยชน์ในที่ดินได้เท่านั้น

การต่อสู้ของผู้ฟ้องคดีทั้ง 22 คน เพื่อให้ได้มาซึ่งโฉนดที่ดินในครั้งนี้ ได้มีการสู้คดีกันจนถึงชั้นศาลปกครองสูงสุด จะประสบผลสำเร็จและได้รับชัยชนะหรือไม่ ? มาดูกันเลยครับ...

คดีนี้สืบเนื่องมาจากเมื่อปี 2538 กรมที่ดินได้ทำการเดินสำรวจออกโฉนดที่ดินในท้องที่ที่ผู้ฟ้องคดีทั้ง 22 คนอาศัยอยู่ ซึ่งผู้ที่พนักงานเจ้าหน้าที่อาจออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้ได้ จะต้องเป็นผู้ซึ่งครอบครองที่ดินภายหลังวันที่ประมวลกฎหมายที่ดินใช้บังคับ และไม่มีใบจอง ใบเหยียบย่ำ หรือไม่มีหลักฐานว่าเป็นผู้มีสิทธิตามกฎหมายว่าด้วยการจัดที่ดินเพื่อการครองชีพ และต้องเป็นที่ดินที่ผู้มีสิทธิในที่ดินได้ครอบครองและทำประโยชน์แล้ว แต่ห้ามมิให้ออกโฉนดที่ดินสำหรับที่ดินที่คณะรัฐมนตรีสงวนไว้เพื่อรักษาทรัพยากรธรรมชาติหรือเพื่อประโยชน์สาธารณะอย่างอื่น (มาตรา 58 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน)

ผู้ฟ้องคดีทั้ง 22 คน เห็นว่าตัวเองเข้าข่ายตามเงื่อนไขดังกล่าว จึงรีบพากันไปแจ้งความประสงค์และนำเจ้าพนักงานที่ดิน (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1) ทำการเดินสำรวจออกโฉนดที่ดิน ซึ่งหลังจากที่ได้มีการรังวัดสอบสวนสิทธิและตรวจสอบระวางแผนที่ที่ใช้ในการออกโฉนดแล้ว เจ้าพนักงานที่ดินเห็นว่าที่ดินของผู้ฟ้องคดีอาจอยู่ในเขตป่าชายเลน จึงได้มีหนังสือไปถึงผู้อำนวยการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2) เพื่อให้ทำการตรวจสอบ ซึ่งผลปรากฏว่าที่ดินจำนวน 22 แปลงดังกล่าวอยู่ในเขตป่าชายเลน เขตเศรษฐกิจ ข ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2530 เจ้าพนักงานที่ดินจึงไม่อาจออกโฉนดที่ดินให้แก่ ผู้ฟ้องคดีทั้ง 22 รายได้

ผู้ฟ้องคดีทุกคนจึงได้โต้แย้งว่า พวกตนได้ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินดังกล่าวมาเป็นเวลา 15 ปีแล้ว โดยเป็นการครอบครองที่ดินซึ่งเป็นที่รกร้างว่างเปล่าไม่ได้เป็นป่าชายเลน อีกทั้งปัจจุบันพื้นที่ดังกล่าวก็มีลักษณะเป็นชุมชน มีไฟฟ้า ประปา ถนนคอนกรีต ซึ่งหมดสภาพการเป็นป่าชายเลนไปแล้ว โดยเจ้าหน้าที่ที่ได้ทำการเดินสำรวจรังวัดที่ดินก็ได้แจ้งกับผู้ฟ้องคดีว่าที่ดินที่พิพาทไม่อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติ ไม่อยู่ในเขตป่าชายเลน และได้กำหนดวันเพื่อแจกโฉนดที่ดิน พอถึงวันดังกล่าวพวกตนกลับได้รับแจ้งว่าไม่สามารถออกโฉนดที่ดินให้ได้เพราะเป็นที่ดินที่อยู่ในเขตป่าชายเลนตามมติคณะรัฐมนตรี ขณะที่เจ้าของที่ดินรายอื่นซึ่งมีที่ดินอยู่ในบริเวณเดียวกันกับผู้ฟ้องคดีต่างก็ได้รับแจกโฉนดกันไปแล้ว

การที่เจ้าพนักงานที่ดินไม่ยอมออกโฉนดให้แก่ผู้ฟ้องคดีจึงเป็นการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนด ผู้ฟ้องคดีได้มีหนังสือไปถึงผู้ว่าราชการจังหวัดเพื่อขอให้ตรวจสอบและดำเนินการออกโฉนดที่ดินให้แก่พวกตน แต่ก็ไม่มีการดำเนินการใดๆ สุดท้ายจึงได้นำเรื่องมาฟ้องต่อศาลปกครอง โดยกรณีนี้

ศาลปกครองสูงสุดได้มีคำวินิจฉัยสรุปได้ดังนี้ครับ...

ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า...ผู้ฟ้องคดีทั้งหมดได้ครอบครองที่ดินมาก่อนที่คณะรัฐมนตรีจะได้กำหนดเขตป่าชายเลนครอบคลุมที่ดินที่ผู้ฟ้องคดีครอบครองอยู่ โดยสภาพที่ดินในปัจจุบันมีลักษณะเป็นแหล่งชุมชนอยู่ห่างจากตัวเมืองประมาณ 500 เมตร และอยู่ห่างจากทะเลประมาณ 4 กิโลเมตร ซึ่งสภาพที่ดินที่คณะรัฐมนตรีจะกำหนดให้เป็นพื้นที่ป่าชายเลนได้นั้น ต้องเป็นที่ดินที่คณะรัฐมนตรีสงวนไว้เพื่อรักษาทรัพยากรธรรมชาติ และต้องมีสภาพเป็นป่าเลน

เมื่อสภาพที่ดินที่พิพาทไม่มีลักษณะเป็นป่าชายเลนตามที่คณะรัฐมนตรีต้องการสงวนรักษาไว้ แม้คณะรัฐมนตรีจะมีมติกำหนดให้ที่ดินดังกล่าวอยู่ในเขตป่าชายเลน แต่เมื่อที่ดินไม่ได้มีสภาพเป็นป่าชายเลน มติคณะรัฐมนตรีจึงไม่มีผลทำให้ที่ดินดังกล่าวกลับกลายสภาพคืนเป็นป่าชายเลนไปได้อีก

เมื่อฟังได้ว่าที่ดินที่พิพาทไม่มีสภาพเป็นป่าชายเลนและมติคณะรัฐมนตรีเมื่อปี 2530 ไม่มีผลทำให้ที่ดินของผู้ฟ้องคดีที่ได้ครอบครองตามมาตรา 58 มีสภาพเป็นที่ดินป่าชายเลน ที่ดินของผู้ฟ้องคดีจึงจัดอยู่ในประเภทที่พนักงานเจ้าหน้าที่สามารถออกโฉนดที่ดินให้ได้ตามประมวลกฎหมายที่ดิน

การที่เจ้าพนักงานที่ดินปฏิเสธการออกโฉนดที่ดินตามที่ผู้ฟ้องคดีทั้งหมดร้องขอ โดยอ้างว่าที่ดินพิพาทอยู่ในเขตป่าชายเลน จึงถือเป็นการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนด ศาลปกครองสูงสุดจึงพิพากษาให้ดำเนินการออกโฉนดที่ดินตามคำขอให้แล้วเสร็จภายใน 90 วัน นับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษาครับ (คดีหมายเลขแดงที่ อ.193/2553)

คดีนี้ศาลปกครองสูงสุดได้ชี้ให้เห็นถึงเจตนารมณ์ของมติคณะรัฐมนตรีที่ต้องการจะสงวนรักษาทรัพยากรธรรมชาติไว้ แต่ในเมื่อสภาพความเป็นจริงพื้นที่ดังกล่าวไม่ได้มีลักษณะเป็นป่าชายเลนที่ต้องสงวนรักษา กรณีจึงถือว่าไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ และไม่ชอบธรรมที่จะไม่ออกโฉนดที่ดินให้แก่
ผู้ฟ้องคดีด้วยเหตุผลที่ไม่ตรงกับสภาพความเป็นจริงดังกล่าว

ดีใจด้วยนะครับกับผลของการต่อสู้คดีที่คุ้มค่า… เป็นอันยุติว่า ธรณีนี่นี้...ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้มีสิทธิครองครับผม !

ครองธรรม ธรรมรัฐ
กำลังโหลดความคิดเห็น