ศาลเลื่อนอ่านคำพิพากษา พล.อ.ธีรเดช มีเพียร ปธ.วุฒิสภา ร่วมกับอดีตผู้ตรวจการแผ่นดินขึ้นเงินเดือนตัวเองไป 20 ก.ค.นี้ เหตุจำเลยติดภารกิจเดินทางไปประเทศภูฏาน
วันนี้ (17 ก.ค.) ที่ห้องพิจารณา 814 ศาลอาญา ศาลนัดฟังคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำ อ.4290/2552 ที่อัยการฝ่ายคดีพิเศษ 2 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายพูลทรัพย์ ปิยะอนันต์ อดีตผู้ตรวจการแผ่นดิน, พล.อ.ธีรเดช มีเพียร ประธานวุฒิสภา และนายปราโมทย์ โชติมงคล อดีตประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน เป็นจำเลยที่ 1-3 ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่มิชอบหรือโดยทุจริต และเป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ประกอบมาตรา 86
คดีนี้โจทก์ฟ้องและนำสืบว่า วันที่ 29 ก.ค.-30 ก.ย. 2547 นายพูลทรัพย์ จำเลยที่ 1 และ พล.อ.ธีรเดช จำเลยที่ 2 ขณะดำรงตำแหน่งผู้ตรวจการแผ่นดินฯ ร่วมกับนายปราโมทย์ จำเลยที่ 3 เลขาธิการผู้ตรวจแผ่นดินฯ ขณะนั้น ซึ่งให้ความช่วยเหลือให้ความสะดวก จำเลยที่ 1-2 กระทำผิด ในการจัดทำร่างระเบียบผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา ว่าด้วยหลักเกณฑ์การจ่ายเบี้ยประชุมกรรมการ และอนุกรรมการ และค่าตอบแทนบุคคลหรือคณะบุคคล พ.ศ. 2547 โดยจำเลยที่ 3 นำเอาร่างระเบียบศาลรัฐธรรมนูญว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการจ่ายเบี้ยประชุมกรรมการและอนุกรรมการ และค่าตอบแทนบุคคลหรือคณะบุคคล พ.ศ. 2547 ที่กำหนดค่าตอบแทนลักษณะเหมาจ่ายเดือนละ 20,000 บาทที่เป็นข้อกำหนดที่ออกโดยมิชอบมาอ้างอิงเป็นต้นแบบเพื่อออกร่างระเบียบผู้ตรวจการแผ่นดินฯ ดังกล่าว
โดยวันที่ 30 ก.ค. 2547 จำเลยที่ 1-2 ให้ความเห็นชอบเพื่อออกระเบียบผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา และมีการประกาศใช้ระเบียบฯ โดยให้มีผลบังคับย้อนหลังตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. 2547 ซึ่งสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินฯ ดำเนินการเบิกจ่ายค่าตอบแทนประจำเดือน ก.ค.-ก.ย. 2547 ให้จำเลยที่ 1-3 เดือนละ 20,000 บาท รวม 3 เดือน 60,000 บาท ทั้งที่พวกจำเลยไม่มีอำนาจโดยชอบที่จะให้ความเห็น ซึ่งการที่จะออกระเบียบจ่ายเงินค่าตอบแทนให้ผู้ตรวจการแผ่นดินฯ เป็นรายเดือนลักษณะเหมาจ่ายเป็นเงินเพิ่มพิเศษลักษณะควบกับเงินเดือนและเงินประจำตำแหน่งนั้น จะต้องเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 มาตรา 253 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา พ.ศ. 2542 มาตรา 5 บัญญัติไว้เท่านั้น โดยต้องผ่านกระบวนการจากคณะรัฐมนตรีเข้าสู่รัฐสภาเพื่อออกเป็นกฎหมายใช้บังคับต่อไป ทั้งนี้ ภายหลังจำเลยทั้งสามกระทำผิดแล้ว ได้ส่งเงินคนละ 60,000 บาทคืนให้สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินฯ ในชั้นไต่สวนของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ
เมื่อถึงเวลานัดทนายจำเลยที่ 2 ได้แถลงต่อศาลขอเลื่อนฟังคำพิพากษาออกไป เนื่องจากจำเลยติดภารกิจเดินทางไปประเทศภูฏานระหว่างวันที่ 15-19 ก.ค.นี้ จึงให้เลื่อนฟังคำพิพากษาเป็นวันที่ 20 ก.ค.นี้ เวลา 10.00 น.