ก่อนหน้านี้นานมาแล้ว ตำรวจไม่ว่ารายไหน ต่างก็แหยง ก็กลัวคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามกาารทุจริตแห่งชาติ หรือป.ป.ช.กันทั้งนั้น ทว่าเมื่อเกิดคดีที่พล.ต.ต.มานิต วงศ์สมบูรณ์ อดีตผบก.น.6 ที่ปัจจุบันดำรงตำแหน่งรองผบช.น. ซึ่งถูกป.ป.ช.ชี้มูลกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการผิดวินัยอย่างร้ายแรง จากการที่ใช้ตำแหน่งช่วยเหลือให้ผู้ที่กระทำผิดในกรณีเข้าควบคุมจับกุมนายวิชัย เอื้อสิยาพันธุ์ ซึ่งเป็นประชาชนที่ตะโกนต่อต้านพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่เป็นนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น เมื่อวันที่ 21 ส.ค. 49 ที่บริเวณหน้าศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซ่า จนเป็นเหตุให้มีการทำร้ายร่างกายนายวิชัย ซึ่งส่งผลให้พล.ต.ต.มานิต ต้องถูกออกจากราชการ แต่ทว่าภายหลัง ศาลปกครอง มีคำสั่งให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ตร.) และก.ตร. รับพล.ต.ต.มานิต กลับเข้ารับราชการใหม่ จนก้าวหน้าได้ดำรงตำแหน่งรองผบช.น.ในปัจจุบัน
นอกเหนือจากพล.ต.ต.มานิตแล้ว ยังมีพ.ต.อ.ฤทธิรงค์ เทพจันดา อดีตผกก.สส.บก.น.6 หรือ"โอ๋ สืบ 6" ที่ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเปลี่ยนแซ่เป็น"พล.ต.ต.ธนายุตม์ วุฒิจรัสธำรงค์" ก็เคยถูกป.ป.ช.สอย แต่ทว่า ศาลปกครองเชียงใหม่ มีคำสั่งให้ตร. และก.ตร. นำกลับเข้ารับราชการโดยไร้ความผิด! ปัจจุบัน กลายเป็น"ผู้การโอ๋" พล.ต.ต.ธนายุตม์ ผบก.นนทบุรี โน่น!
กรณีการกลับเข้ารับราชการของนายตำรวจทั้ง 2 นาย ก่อให้เกิด"มิติใหม่"ขึ้นในแวดวงสีกากี กลายเป็น"กรณีศึกษา"ว่ากันอย่างนั้น โดยหากใครถูกป.ป.ช.สอย ก็ให้ใช้กรณีที่นายตำรวจทั้ง 2 นายใช้ เพื่อจะได้กลับเข้ามารับราชการกันต่อจากเดิมอีก พูดให้เข้าใจง่ายๆก็คือ หลังจากเกิดเรื่องนี้ขึ้น ไม่ค่อยมีตำรวจนายใด กลัวป.ป.ช.อีกต่อไปแล้ว?
ทว่าเมื่อวันที่ 14 มี.ค.ที่ผ่านมา กลับมีคำสั่งของศาลปกครองสูงสุด สั่งรื้อคดีให้พล.ต.ต.มานิต วงศ์สมบูรณ์ กลับเข้ารับราชการใหม่ โดยสั่งให้ศาลปกครองชั้นต้นรับคำขอพิจารณาพิพากษาคดีใหม่ของป.ป.ช. พร้อมสั่งให้เปลี่ยนองค์คณะ นี่ก็ถือเป็น"มิติใหม่" และต้องถือเป็น"กรณีศึกษา"อย่างยิ่งต้องลองไปดูเหตุและผลของศาลปกครองสูงสุดถึงเรื่องนี้กัน
ศาลปกครองสูงสุด ให้เหตุผลที่ต้องสั่งให้ศาลชั้นต้นรับพิจารณาคดีใหม่ว่า คดีนี้เป็นกรณีทีมีผู้เสียหายร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ของรัฐ ฐานกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการตามมาตรา 89 พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต 2542 จึงมีการส่งเรื่องให้ป.ป.ช.พิจารณาดำเนินการ ต่อมา ป.ป.ช.ได้มีหนังสือถึงผบ.ตร. ส่งรายงานการไต่สวนของคณะอนุกรรมการเพื่อพิจารณาโทษทางวินัย กับพล.ต.ต.มานิต เนื่องจาก ป.ป.ช.มีมติเป็นเอกฉันท์ว่าการกระทำของพล.ต.ต.มานิตเป็นการกระทำผิดวินัยร้ายแรง และสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้มีคำสั่งลงโทษปลดพล.ต.ต.มานิตออกจากราชการ ซึ่งพล.ต.ต.มานิตได้ยื่นอุทธรณ์คำสั่งลงโทษต่อ ก.ตร. ที่ก็มีมติให้ยกอุทธรณ์
จึงจะเห็นได้ว่าป.ป.ช.เป็นผู้ตรวจสอบและแต่งตั้งอนุกรรมการไต่สวนเพื่อดำเนินการสอบสวนข้อเท็จจริง และได้มีการดำเนินการไต่สวนผู้กล่าวหา พยานบุคคล พยานเอกสาร พยานวัตถุ จึงถือว่าป.ป.ช.เป็นผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในการชี้มูลของ พล.ต.ต.มานิตมาตั้งแต่ต้น
การที่ศาลปกครองชั้นต้นพิจารณา ว่า กระบวนการไต่สวนของคณะอนุกรรมการไต่สวน ป.ป.ช.นั้นไม่เป็นไปตามบทบัญญัติที่กำหนดไว้ใน พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต 2542 และระเบียบป.ป.ช.ว่าด้วยการปฏิบัติหน้าที่ของอนุกรรมการไต่สวน 2547 หลายประการ กระบวนการก่อนออกคำสั่งลงโทษทางวินัยไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ไม่เป็นการยุติธรรมต่อพล.ต.ต.มานิตนั้น เห็นว่าคำวินิจฉัยดังกล่าวของศาลปกครองชั้นต้นย่อมมีผลกระทบโดยตรงต่อประสิทธิภาพการดำเนินคดีของ ป.ป.ช.ตามที่รัฐธรรมนูญได้ให้อำนาจไว้ ซึ่งที่ศาลปกครองชั้นต้นวินิจฉัยว่า การดำเนินการของป.ป.ช.ดังกล่าว เป็นเพียงการเตรียมการ และการดำเนินการเพื่อจัดให้มีคำสั่งลงโทษทางวินัยพล.ต.ต.มานิต เป็นเพียงการพิจารณาทางปกครองตามมาตรา 5 พ.ร.บ.วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง 2539 ไม่มีผลบังคับให้ผบ.ตร.และก.ตร.ต้องพิจารณาโทษตามฐานความผิดที่ป.ป.ช.ได้มีมติจึงไม่ถูกต้อง ป.ป.ช.จึงเป็นบุคคลภายนอกผู้มีส่วนได้เสียเกี่ยวข้องในการวินิจฉัยดังกล่าว สมควรที่จะต้องเข้ามาอยู่ในคดีตั้งแต่ต้น อุทธรณ์ข้อนี้ของป.ป.ช.จึงฟังขึ้น
ส่วนที่ป.ป.ช.อุทธรณ์ว่า ศาลปกครองชั้นต้นรับฟังข้อเท็จจริงผิดพลาดนั้นเห็นว่า เมื่อศาลปกครองชั้นต้นพิจารณาแล้วว่ากระบวนการไต่สวนของคณะอนุกรรมการไต่สวนป.ป.ช.ไม่ถูกต้องตามที่บัญญัติไว้ก็ควรที่จะได้ตรวจสอบพยานเอกสารดังกล่าวจากป.ป.ช. ที่ศาลปกครองชั้นต้นพิจารณาโดยสุรปว่าข้อเท็จจริงจากเอกสารหลักฐาน คำให้การของพยานบุคคล พยานวัตถุ แผ่นวีดีทัศน์ ซึ่งมีภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหวและภาพถ่าย ที่อยู่ในสำนวนคดี ที่คู่กรณีได้ส่งมาส่วนใหญ่ปรากฎอยู่ในสำนวนของป.ป.ช. โดยมีข้อเท็จจริงที่ถูกกล่าวหาตรงกับเอกสารรายงานไต่สวนข้อเท็จจริง หรือจากการนำส่งของพล.ต.ต.มานิต ผบ.ตร.และก.ตร. โดยยังมิได้รับฟังหลักฐานโดยตรงจากป.ป.ช.ซึ่งอาจมีผลทำให้การรับฟังข้อเท็จจริงผิดพลาดได้ ประกอบเมื่อศาลปกครองชั้นต้นวินิจฉัยว่า ป.ป.ช.ชี้มูลไม่ชอบด้วยกฎหมายก็สมควรอย่างยิ่งที่ต้องตรวจสอบพยานและเอกสารหลักฐาน จากป.ป.ช.เป็นสำคัญด้วย
ดังนั้น ข้ออ้างของป.ป.ช.ที่ว่าศาลปกครองชั้นต้นรับฟังข้อเท็จจริงผิดพลาด ป.ป.ช.ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกไม่ได้เข้ามาในการดำเนินกระบวนพิจารณาคดีหรือเข้ามาแล้วถูกตัดโอกาสโดยไม่เป็นธรรมในการมีส่วนร่วม ในการดำเนินกระบวนพิจารณา หรือมีข้อบกพร่องสำคัญในกระบวนพิจารณาพิพากษาที่ทำให้ผลของคดีไม่เป็นที่ยุติธรรมจึงรับฟังได้ ป.ป.ช.จึงเป็นผู้มีสิทธิที่จะขอให้ศาลพิจารณาพิพากษาคดีใหม่
ดังนั้นเมื่อข้อเท็จจริงที่ศาลปกครองชั้นต้นได้รับฟังมาไม่เพียงพอ แก่การวินิจฉัยชี้ขาดคดี ศาลปกครองสูงสุดเห็น ว่า มีเหตุอันสมควรที่ศาลปกครองสูงสุดจะกำหนดให้ศาลปกครองชั้นต้นที่ประกอบด้วยตุลาการศาลปกครองชั้นต้นอื่นที่ไม่ใช่องค์คณะเดิมเป็นองค์คณะพิจารณาคดีนี้ใหม่ จึงมีคำสั่งกลับคำสั่งศาลปกครองชั้นต้น เป็นให้รับคำขอพิจารณาพิพากษาคดีใหม่ของป.ป.ช.ไว้พิจารณา และดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปตามรูปคดีโดยองค์คณะใหม่ของศาลปกครองชั้นต้น
งานนี้อย่างว่าแต่ พล.ต.ต.มานิต วงศ์สมบูรณ์ ต้องสะท้าน "โอ๋ สืบ6" พล.ต.ต.ธนายุตม์ ต้องหนาวสั่น แม้แต่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และก.ตร. ยังต้องเสียวสันหลังวาบ ! กับคำสั่งของศาลปกครองสูงสุดในครั้งนี้ ?
นอกเหนือจากพล.ต.ต.มานิตแล้ว ยังมีพ.ต.อ.ฤทธิรงค์ เทพจันดา อดีตผกก.สส.บก.น.6 หรือ"โอ๋ สืบ 6" ที่ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเปลี่ยนแซ่เป็น"พล.ต.ต.ธนายุตม์ วุฒิจรัสธำรงค์" ก็เคยถูกป.ป.ช.สอย แต่ทว่า ศาลปกครองเชียงใหม่ มีคำสั่งให้ตร. และก.ตร. นำกลับเข้ารับราชการโดยไร้ความผิด! ปัจจุบัน กลายเป็น"ผู้การโอ๋" พล.ต.ต.ธนายุตม์ ผบก.นนทบุรี โน่น!
กรณีการกลับเข้ารับราชการของนายตำรวจทั้ง 2 นาย ก่อให้เกิด"มิติใหม่"ขึ้นในแวดวงสีกากี กลายเป็น"กรณีศึกษา"ว่ากันอย่างนั้น โดยหากใครถูกป.ป.ช.สอย ก็ให้ใช้กรณีที่นายตำรวจทั้ง 2 นายใช้ เพื่อจะได้กลับเข้ามารับราชการกันต่อจากเดิมอีก พูดให้เข้าใจง่ายๆก็คือ หลังจากเกิดเรื่องนี้ขึ้น ไม่ค่อยมีตำรวจนายใด กลัวป.ป.ช.อีกต่อไปแล้ว?
ทว่าเมื่อวันที่ 14 มี.ค.ที่ผ่านมา กลับมีคำสั่งของศาลปกครองสูงสุด สั่งรื้อคดีให้พล.ต.ต.มานิต วงศ์สมบูรณ์ กลับเข้ารับราชการใหม่ โดยสั่งให้ศาลปกครองชั้นต้นรับคำขอพิจารณาพิพากษาคดีใหม่ของป.ป.ช. พร้อมสั่งให้เปลี่ยนองค์คณะ นี่ก็ถือเป็น"มิติใหม่" และต้องถือเป็น"กรณีศึกษา"อย่างยิ่งต้องลองไปดูเหตุและผลของศาลปกครองสูงสุดถึงเรื่องนี้กัน
ศาลปกครองสูงสุด ให้เหตุผลที่ต้องสั่งให้ศาลชั้นต้นรับพิจารณาคดีใหม่ว่า คดีนี้เป็นกรณีทีมีผู้เสียหายร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ของรัฐ ฐานกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการตามมาตรา 89 พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต 2542 จึงมีการส่งเรื่องให้ป.ป.ช.พิจารณาดำเนินการ ต่อมา ป.ป.ช.ได้มีหนังสือถึงผบ.ตร. ส่งรายงานการไต่สวนของคณะอนุกรรมการเพื่อพิจารณาโทษทางวินัย กับพล.ต.ต.มานิต เนื่องจาก ป.ป.ช.มีมติเป็นเอกฉันท์ว่าการกระทำของพล.ต.ต.มานิตเป็นการกระทำผิดวินัยร้ายแรง และสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้มีคำสั่งลงโทษปลดพล.ต.ต.มานิตออกจากราชการ ซึ่งพล.ต.ต.มานิตได้ยื่นอุทธรณ์คำสั่งลงโทษต่อ ก.ตร. ที่ก็มีมติให้ยกอุทธรณ์
จึงจะเห็นได้ว่าป.ป.ช.เป็นผู้ตรวจสอบและแต่งตั้งอนุกรรมการไต่สวนเพื่อดำเนินการสอบสวนข้อเท็จจริง และได้มีการดำเนินการไต่สวนผู้กล่าวหา พยานบุคคล พยานเอกสาร พยานวัตถุ จึงถือว่าป.ป.ช.เป็นผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในการชี้มูลของ พล.ต.ต.มานิตมาตั้งแต่ต้น
การที่ศาลปกครองชั้นต้นพิจารณา ว่า กระบวนการไต่สวนของคณะอนุกรรมการไต่สวน ป.ป.ช.นั้นไม่เป็นไปตามบทบัญญัติที่กำหนดไว้ใน พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต 2542 และระเบียบป.ป.ช.ว่าด้วยการปฏิบัติหน้าที่ของอนุกรรมการไต่สวน 2547 หลายประการ กระบวนการก่อนออกคำสั่งลงโทษทางวินัยไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ไม่เป็นการยุติธรรมต่อพล.ต.ต.มานิตนั้น เห็นว่าคำวินิจฉัยดังกล่าวของศาลปกครองชั้นต้นย่อมมีผลกระทบโดยตรงต่อประสิทธิภาพการดำเนินคดีของ ป.ป.ช.ตามที่รัฐธรรมนูญได้ให้อำนาจไว้ ซึ่งที่ศาลปกครองชั้นต้นวินิจฉัยว่า การดำเนินการของป.ป.ช.ดังกล่าว เป็นเพียงการเตรียมการ และการดำเนินการเพื่อจัดให้มีคำสั่งลงโทษทางวินัยพล.ต.ต.มานิต เป็นเพียงการพิจารณาทางปกครองตามมาตรา 5 พ.ร.บ.วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง 2539 ไม่มีผลบังคับให้ผบ.ตร.และก.ตร.ต้องพิจารณาโทษตามฐานความผิดที่ป.ป.ช.ได้มีมติจึงไม่ถูกต้อง ป.ป.ช.จึงเป็นบุคคลภายนอกผู้มีส่วนได้เสียเกี่ยวข้องในการวินิจฉัยดังกล่าว สมควรที่จะต้องเข้ามาอยู่ในคดีตั้งแต่ต้น อุทธรณ์ข้อนี้ของป.ป.ช.จึงฟังขึ้น
ส่วนที่ป.ป.ช.อุทธรณ์ว่า ศาลปกครองชั้นต้นรับฟังข้อเท็จจริงผิดพลาดนั้นเห็นว่า เมื่อศาลปกครองชั้นต้นพิจารณาแล้วว่ากระบวนการไต่สวนของคณะอนุกรรมการไต่สวนป.ป.ช.ไม่ถูกต้องตามที่บัญญัติไว้ก็ควรที่จะได้ตรวจสอบพยานเอกสารดังกล่าวจากป.ป.ช. ที่ศาลปกครองชั้นต้นพิจารณาโดยสุรปว่าข้อเท็จจริงจากเอกสารหลักฐาน คำให้การของพยานบุคคล พยานวัตถุ แผ่นวีดีทัศน์ ซึ่งมีภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหวและภาพถ่าย ที่อยู่ในสำนวนคดี ที่คู่กรณีได้ส่งมาส่วนใหญ่ปรากฎอยู่ในสำนวนของป.ป.ช. โดยมีข้อเท็จจริงที่ถูกกล่าวหาตรงกับเอกสารรายงานไต่สวนข้อเท็จจริง หรือจากการนำส่งของพล.ต.ต.มานิต ผบ.ตร.และก.ตร. โดยยังมิได้รับฟังหลักฐานโดยตรงจากป.ป.ช.ซึ่งอาจมีผลทำให้การรับฟังข้อเท็จจริงผิดพลาดได้ ประกอบเมื่อศาลปกครองชั้นต้นวินิจฉัยว่า ป.ป.ช.ชี้มูลไม่ชอบด้วยกฎหมายก็สมควรอย่างยิ่งที่ต้องตรวจสอบพยานและเอกสารหลักฐาน จากป.ป.ช.เป็นสำคัญด้วย
ดังนั้น ข้ออ้างของป.ป.ช.ที่ว่าศาลปกครองชั้นต้นรับฟังข้อเท็จจริงผิดพลาด ป.ป.ช.ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกไม่ได้เข้ามาในการดำเนินกระบวนพิจารณาคดีหรือเข้ามาแล้วถูกตัดโอกาสโดยไม่เป็นธรรมในการมีส่วนร่วม ในการดำเนินกระบวนพิจารณา หรือมีข้อบกพร่องสำคัญในกระบวนพิจารณาพิพากษาที่ทำให้ผลของคดีไม่เป็นที่ยุติธรรมจึงรับฟังได้ ป.ป.ช.จึงเป็นผู้มีสิทธิที่จะขอให้ศาลพิจารณาพิพากษาคดีใหม่
ดังนั้นเมื่อข้อเท็จจริงที่ศาลปกครองชั้นต้นได้รับฟังมาไม่เพียงพอ แก่การวินิจฉัยชี้ขาดคดี ศาลปกครองสูงสุดเห็น ว่า มีเหตุอันสมควรที่ศาลปกครองสูงสุดจะกำหนดให้ศาลปกครองชั้นต้นที่ประกอบด้วยตุลาการศาลปกครองชั้นต้นอื่นที่ไม่ใช่องค์คณะเดิมเป็นองค์คณะพิจารณาคดีนี้ใหม่ จึงมีคำสั่งกลับคำสั่งศาลปกครองชั้นต้น เป็นให้รับคำขอพิจารณาพิพากษาคดีใหม่ของป.ป.ช.ไว้พิจารณา และดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปตามรูปคดีโดยองค์คณะใหม่ของศาลปกครองชั้นต้น
งานนี้อย่างว่าแต่ พล.ต.ต.มานิต วงศ์สมบูรณ์ ต้องสะท้าน "โอ๋ สืบ6" พล.ต.ต.ธนายุตม์ ต้องหนาวสั่น แม้แต่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และก.ตร. ยังต้องเสียวสันหลังวาบ ! กับคำสั่งของศาลปกครองสูงสุดในครั้งนี้ ?