ผบช.น.เผยเร่งตามล่าตัวชายอิหร่านคนที่ 3 ที่กำลังหลบหนี พร้อมนำภาพที่ได้จากวงจรปิดมาเปรียบเทียบ หลังผู้ต้องสงสัยเดินทางออกนอกประเทศไปแล้ว ระบุกลุ่มอิหร่านที่ก่อเหตุไม่มีความเชื่อมโยงกับ “อาทริส” ทั้งตัวบุคคลและวัตถุระเบิด เชื่อจะมีการออกหมายจับเพิ่มเร็วๆ นี้ พร้อมประสานสถานทูตอิสราเอลขอข้อมูลแม่เหล็กที่พบในระเบิด หลังมีการโจมตีรถยนต์คณะทูตอิสราเอลในอินเดีย และจอร์เจีย เนื่องจากมีการใช้แม่เหล็กดังกล่าวเหมือนกัน
วันนี้ (15 ก.พ.) เมื่อเวลา 11.00 น. ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล พล.ต.ท.วินัย ทองสอง ผบช.น. เปิดเผยความคืบหน้ากรณีการก่อเหตุระเบิดเหตุระเบิด 3 จุด ในซอยปรีดีพนมยงค์ (สุขุมวิท 71) เมื่อช่วงบ่ายวานนี้ (14 ก.พ.) โดยได้ประชุมร่วมกับสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ ได้ให้ข้อมูลทางพนักงานสอบสวน และได้ทำการสอบสวนคนร้ายคนที่ 2 ที่ได้ทำการควบคุมตัวอยู่ในขณะนี้
พล.ต.ท.วินัยเปิดเผยว่า ขณะนี้เรากำลังตรวจสอบอยู่ว่า คนร้ายคนที่ 3 หลบหนีไปอยู่ที่ไหน ทราบชื่อผู้ต้องหาคนที่ 3 คือ Masoud Sedaghatzadeh ชาวอิหร่าน อายุ 27 ปี แต่จะนำภาพที่ได้มาไปเปรียบเทียบกับคนต้องสงสัยที่เดินทางออกไปแล้วว่าจะเป็นคนเดียวกันกับที่เดินออกจากบ้านหลังที่ผู้ต้องหาอาศัยอยู่หรือไม่ ส่วนของกลางทางเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน, เจ้าหน้าที่ EOD, พนักงานกองสืบสวน และพนักงานสอบสวนจะเข้าไปเก็บรวบรวมพยานหลักฐาน เนื่องจากของกลางยังไม่สามารถสรุปได้ว่าเป็นชนิดเดียวกันกับเหตุที่เกิดในประเทศอินเดีย แต่ก็ได้พยายามรวบรวมให้ชัดเจนว่ามีความคล้ายกันหรือไม่
ผู้สื่อข่าวถามว่า กลุ่มผู้ก่อเหตุมีความเชื่อมโยงกับกลุ่มก่อการร้ายของนายอาทริส ฮุสเซน ชาวเลบานอลหรือไม่ พล.ต.ท.วินัยกล่าวว่า ทั้งตัวบุคคลและของกลางไม่ได้เกี่ยวข้องกัน แต่ตัวบุคคลที่ก่อเหตุครั้งนี้ยังไม่ได้ตั้งข้อหาก่อการร้าย แต่เราจะตั้งข้อหาตามพยานหลักฐานที่ตรวจพบ เบื้องต้นได้ตั้งในข้อหาครอบครองวัถตุระเบิด พยายามฆ่าผู้อื่นและเจ้าหน้าที่ตำรวจระหว่างการปฏิบัติหน้าที่
“การออกหมายจับผู้ต้องหาเพิ่มจะต้องให้พนักงานสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐาน แต่เชื่อว่ามีการออกหมายจับเพิ่มเติมแน่นอน อีกทั้งขณะนี้มีการสอบสวนผู้หญิงชาวอิหร่าน ซึ่งเป็นคนมาเช่าบ้านเมื่อปลายปีที่แล้ว เข้ามาอยู่ได้ประมาณ 1 เดือนกว่าแล้ว” พล.ต.ท.วินัยกล่าวถึงการออกหมายจับผู้ต้องหาที่หลบหนีไปได้อีก 1 คน และหญิงสาวที่อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ครั้งนี้
พล.ต.ท.วินัยกล่าวต่อว่า ในวันนี้ทางกองบัญชาการตำรวจนครบาลจะออกมาตรการด้านการป้องกัน การสำรวจตรวจสอบเกสต์เฮาส์ หรือบ้านพักที่มีชาวต่างชาติ โดยเฉพาะชาวตะวันออกกลางที่เข้ามาพักอาศัย ซึ่งจะมีการตรวจล้อมค้นบริเวณที่มีชาวตะวันออกกลางมาพักอาศัยมากๆ และทำการตรวจค้นทั้งตัวบุคคลและยานพาหนะ นอกจากนั้นได้สั่งการให้มีการตั้งด่านตรวจค้นวัตถุ ไม่ว่าจะเป็นอาวุธเกี่ยวกับระเบิด และการออกหนังสือเพื่อขอความร่วมมือกับเจ้าของกิจการบ้านเช่า เกสต์เฮาส์ที่มีชาวตะวันออกกลางไปพักอาศัย ให้รีบแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจจะได้รีบเข้าไปตรวจสอบดูแลพฤติกรรม
ผบช.น.ยังแสดงความมั่นใจด้วยว่า ในขณะนี้ทางการข่าวยังไม่มีอะไรที่จะก่อให้เกิดวิกฤตที่รุนแรง โดยเมื่อเช้านี้จากการสอบถามเจ้าหน้าที่ที่ชำนาญเกี่ยวกับวัตถุระเบิดได้ให้ความเห็นตรงกันว่า การก่อเหตุระเบิดนั้นมุ่งหวังที่จะสังหารตัวบุคคลมากกว่าก่อเหตุเพื่อทำให้เกิดความเสียหายต่อบริเวณในพื้นที่กว้าง ส่วนคนร้ายรายนี้จะเคยก่อเหตุที่อื่นมาด้วยหรือไม่นั้น อยู่ระหว่างการสอบสวนและดำเนินการตรวจสอบอยู่
ผู้สื่อข่าวถามอีกว่า วัตถุระเบิดที่ตรวจสอบนั้นมีอยู่ในไทยอยู่แล้วหรือว่าเป็นการนำเข้ามาจากต่างประเทศ พล.ต.ท.วินัยกล่าวว่า ปกติแล้วระเบิดแบบซีโฟร์จะใช้เกี่ยวกับการระเบิดหินในเมืองไทยก็หาได้ ซึ่งไม่ได้มีการต่อวงจรอะไรเลย ระเบิดแบบซีโฟร์ก็จะเป็นการเอาแก๊ประเบิดมาเสียบเข้าไปเท่านั้น ไม่ได้มีการต่อวงจรสลับซับซ้อนอะไร
“การจุดระเบิด ก็คือการดึงสลักออกอย่างเดียว เนื่องจากซีโฟร์เป็นสารระเบิด ไม่เกี่ยวกับการจุดระเบิด ในตัวของชนวนนั้นคือแก๊ปต่างหาก ส่วนจะมีการตั้งเวลาให้มีระยะเวลาที่จะทำให้แก๊ประเบิด พอแก๊ประเบิดก็จะไปขยายทำให้เกิดการระเบิดขึ้น” พล.ต.ท.วินัยกล่าว
ผบช.น.กล่าวต่อว่า ขณะนี้ทางตำรวจอยู่ระหว่างการเตรียมพนักงานสอบสวน เพื่อทำการสอบปากคำนายโมฮัมหมัด ฮาซาอิ คนร้ายคนที่ 2 ที่ทาง สตม.จับกุมตัวได้ที่สนามบินสุวรรณภูมิ ระหว่างจะเดินทางหลบหนีไปยังประเทศมาเลเซีย
พล.ต.ท.วินัยยังตอบคำถามถึงประเด็นแม่เหล็กที่พบในวัตถุระเบิดของคนร้ายว่า จะเป็นชนิดเดียวกันกับเหตุโจมตีรถยนต์ของคณะทูตอิสราเอล ในกรุงนิวเดลี ประเทศอินเดียด้วยหรือไม่ว่า ขณะนี้พยายามจะประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อหาความชัดเจนว่าคล้ายกันหรือไม่ และไม่พบว่ามีคนไทยมีส่วนเกี่ยวข้อง สำหรับแม่เหล็กที่ตรวจพบนั้น ทางตำรวจอาจจะมีการประสานกับทางสถานทูตอิสราเอล เพื่อขอข้อมูลเหตุระเบิดโจมตีรถยนต์ของคณะทูตอิสราเอล ในกรุงนิวเดลี ประเทศอินเดีย และในกรุงทบิลิซี (Tbilisi) ประเทศจอร์เจีย เนื่องจากพบว่ามีการใช้แม่เหล็กดังกล่าวเหมือนกัน
มีรายงานว่า วัตถุระเบิดซีโฟร์ที่ตรวจสอบพบมีทั้งหมด 5 ลูก ระเบิดไปแล้ว 3 ลูก และสามารถเก็บกู้ได้ 2 ลูก โดยระเบิดแต่ละลูกมีน้ำหนักประมาณ 4 ปอนด์ ตั้งเวลาเอาไว้ 5 วินาที มีรัศมีทำลายล้าง 40 เมตร ระยะสังหาร 3-5 เมตร นอกจากนี้ยังพบว่าระเบิดแต่ละลูกมีการติดแม่เหล็กขนาดประมาณ 1 นิ้วเอาไว้จำนวน 6 อัน โดยติดไว้ที่ตัววิทยุทรานซิสเตอร์ วัตถุประสงค์ของการติดแม่เหล็กก็เพื่อนำไปใช้แปะกับยานพาหนะ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจึงน่าจะเป็นการมุ่งสังหารตัวบุคคล แต่ทั้งนี้ระเบิดดังกล่าวสามารถใช้ก่อเหตุได้ 2 วิธี คือ ดึงสลักแล้วโยน กับนำไปแปะเอาไว้ แล้วใช้ลวดเส้นเล็กหรือเชือกผูกติดกับเพลาล้ออีกที เมื่อรถเคลื่อนตัวก็จะระเบิดทันที