รองผบช.น.สั่งตำรวจจราจรในท้องที่ พร้อมส่งกำลังจราจรกลางเข้าควบคุมดูแลความสงบเรียบร้อยของกลุ่มรถบรรทุก-แท็กซี่ รวมตัวประท้วงคัดค้านการปรับขึ้นราคาก๊าซเอ็นจีวี พร้อมเตรียมกำลังเสริมอีก 3 กองร้อย เพื่อดูแลไม่ให้มีความวุ่นวายเกิดขึ้น หากผู้ชุมนุมยกระดับความรุนแรง
วันนี้ (9 ม.ค.) เมื่อเวลา 12.30 น. พล.ต.ต.วรศักดิ์ นพสิทธิพร รองผบช.น. พล.ต.ต.เมธี กุศลสร้าง รองผบช.น.และ พล.ต.ต.สำเริง สุวรรณพงษ์ ผบก.น.2 กล่าวถึงการดูแลความเรียบร้อยด้านการจราจรกรณีผู้ประกอบการรถสาธารณะ รถบรรทุก แท็กซี่ และรถโดยสารประจำทางรวมตัวชุมนุมคัดค้านการขึ้นราคาก๊าซเอ็นจีวี ว่า มีการรวมตัวคัดค้านในพื้นที่ กทม.ใน 2 จุดใหญ่ คือ บริเวณหน้าสำนักงานใหญ่ ปตท.กระทรวงพลังงาน ถนนวิภาวดีรังสิต บริเวณลานพระบรมรูปทรงม้า รวมถึงด้านหน้าทำเนียบรัฐบาลเป็นบางส่วน โดยกลุ่มแท็กซี่ได้นำรถมาจอดบริเวณลานพระบรมรูปทรงม้ากว่า 150 คัน เพื่อต้องการเรียกร้องให้รัฐบาลขยายระยะเวลาปรับขึ้นค่าก๊าซเอ็นจีวี (NGV) ออกไปเป็นปี 2556 โดยก่อนหน้านี้ รัฐบาลได้ยืนยันไว้ว่าจะปรับราคาก๊าซเอ็นจีวี ในวันที่ 16 ม.ค.ที่จะถึงนี้แน่นอน
พล.ต.ต.วรศักดิ์ กล่าวว่า ได้สั่งการตำรวจจราจรในพื้นที่ดูแลความสงบเรียบร้อยของกลุ่มผู้ชุมนุม โดยไม่ให้รุกล้ำเข้ามาบนผิวการจราจร พร้อมส่งกำลังตำรวจจราจรกลางเข้าไปสมทบ เพื่อปฏิบัติหน้าที่จุดละ 20 นาย ขณะเดียวกัน ได้เร่งระบายรถ พร้อมประชาสัมพันธ์ประชาชนผู้ใช้รถใช้ถนนหลีกเลี่ยงเส้นทางที่มีการชุมนุม แต่หากมีการรวมตัวกันมากขึ้น อาจมีปัญหาในช่วงเย็น โดยเฉพาะในชั่วโมงเร่งด่วน ซึ่งได้เตรียมแผนปฏิบัติรองรับไว้แล้ว หากเกิดมีการปิดถนน ซึ่งจะเร่งแก้ไขปัญหาให้คลี่คลายโดยเร็ว
“ทั้งนี้ การดูแลความสงบเรียบร้อยในพื้นที่หากผู้ชุมนุมคัดค้านการขึ้นราคาก๊าซเอ็นจีวียกระดับความรุนแรงการชุมนุม ได้มีการเตรียมกำลังเสริมไว้พร้อมแล้ว โดยเป็นกำลังจาก บช.น. 1 กองร้อย กองบังคับการตำรวจนครบาล 1 จำนวน 1 กองร้อย และกองบังคับการตำรวจอารักขาและควบคุมฝูงชน จำนวน 1 กองร้อย คาดว่า จะสามารถดูแลได้อย่างเต็มที่ และคงไม่มีเหตุรุนแรงอะไร ซึ่งขณะนี้ผู้ชุมนุมยังอยู่ในความเรียบร้อยดีไม่มีความวุ่นวายเกิดขึ้น” พล.ต.ต.วรศักดิ์ กล่าว
ด้าน พล.ต.ต.สำเริง กล่าวว่า การจราจรถนนวิภาวดี-รังสิต ขาออก บริเวณด้านหน้าสำนักงานใหญ่ ปตท.ยังใช้การได้ โดยมีกำลังตำรวจจราจรท้องที่ สน.พหลโยธิน สน.บางซื่อ และ สน.วิภาวดี เข้าทำหน้าที่อำนวยความสะดวกการจราจร และจัดระเบียบไม่ให้กีดขวางเกะกะผิวการ จราจร พร้อมกับตำรวจปราบจลาจลที่ดูแลความเรียบร้อยให้ชุมนุมด้วยความสงบ ซึ่งจะคุมเข้มอย่างต่อเนื่องจนกว่าการชุมนุมจะสิ้นสุดลง
“ขณะนี้ได้มีการประสานงานระหว่างกลุ่มผู้ชุมนุมกับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องแล้ว โดยยื่นหนังสือผ่านตัวแทนกระทรวงพลังงานรับเรื่องไปทบทวนเกี่ยวกับเรื่องการปรับขึ้นราคาของก๊าซ NGV และ LPG เชื่อว่า การชุมนุมคงไม่ยืดเยื้อ โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจได้แจ้งให้ผู้ขับขี่รถบรรทุกที่ได้มารวมตัวกันให้นำรถไป จอดริมถนนช่องทางคู่ขนานป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาการจราจรในช่วงเช้าและเย็น พบว่า ปริมาณรถที่มารวมตัวชุมนุมนั้นมีมากกว่า 100 คัน โดยเตรียมการตั้งเวทีปราศรัย บริเวณปากทางเข้า-ออกอาคารแล้ว” พล.ต.ต.สำเริง กล่าว
นอกจากน้ ด้าน นายศุภลธร โยธี ตัวแทนกลุ่มแท็กซี่ที่มาเรียกร้องในครั้งนี้ กล่าวว่า อยากให้รัฐบาลตรึงราคาก๊าซเอ็นจีวี (NGV) เอาไว้ก่อน เพราะสถานการณ์ด้านเศรษฐกิจในช่วงนี้ยังคงแย่อยู่ เพราะพวกตนซึ่งมีอาชีพขับรถแท็กซี่ต้องแข่งขันกับรถสาธารณะหลายประเภท ทั้งรถตู้ รถไฟฟ้า มอเตอร์ไซค์รับจ้าง รวมไปถึงรถประจำทาง ซึ่งราคาเริ่มต้นของค่าโดยสารรถแท็กซี่จะเริ่มต้นที่ 35 บาท หากมีการปรับขึ้นของราคาก๊าซเอ็นจีวี (NGV) ก็จะทำให้ต้องมีการขึ้นราคาค่าโดยสาร ซึ่งถ้าหากเราขึ้นค่าโดยสารจะส่งผลกระทบโดยตรงไปยังประชาชนผู้บริโภค
“อยากให้ทางรัฐบาลตรึงราคาเท่าเดิมไว้ก่อน ไม่ใช่ว่ามารณรงค์ใช้ก๊าซเอ็นจีวี (NGV) ว่าดีอย่างนั้นดีอย่างนี้ แล้วจะหาทางขึ้นราคาก๊าซแต่เพียงอย่างเดียว” นายศุภลธร กล่าว
ในวันเดียวกัน เวลา 14.00 น. ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ นายเทพพนม นามลี อายุ 54 ปี ประธานชมรมเพื่อนทางหลวงและประธานคณะกรรมการ นปช. จ.สุรินทร์ พร้อมด้วยกลุ่มสมาชิกยื่นหนังสือประท้วงต่อสื่อมวลชน ประจำสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อคัดค้านการปิดถนนวิภาวดี หน้ากระทรวงพลังงานและบริเวณลานพระบรมรูปทรงม้าของผู้ประกอบการรถบรรทุกและรถร่วม ขสมก. ที่ประท้วงการขึ้นราคาก๊าซเอ็นจีวี (NGV)
นายเทพพนม เปิดเผยว่า กลุ่มของตนไม่เห็นด้วยกับการออกมาปิดถนนประท้วงของสหพันธ์การขนส่งทางบกแห่งประเทศไทย เนื่องจากทำให้ผู้ใช้รถ-ใช้ถนนเกิดความเดือดร้อน ทำให้การจราจรติดขัด จึงอยากเรียกร้องให้มีการส่งตัวแทนไปพูดคุยกับรัฐบาล รวมถึงหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อหาข้อยุติ พร้อมร้องเรียนให้ดำเนินคดีกับกลุ่มผู้มาปิดถนนด้วย ตามพรบ.ทางหลวง มาตรา 39 ซึ่งในมาตราดังกล่าวตนเคยถูกดำเนินคดีมาแล้วเมื่อปี 2544 จากกรณีปิดถนนประท้วงรัฐบาลไม่รับจำนำข้าว โดยขณะนี้ศาลชั้นต้นตัดสินจำคุก 3 ปี และอยู่ระหว่างยื่นศาลฎีกา เพื่อขอลดโทษ
นายเทพพนม กล่าวต่อว่า คนเสื้อแดงมีอุดมการณ์ จึงอยากเรียกร้องรัฐบาลปฏิบัติหน้าที่อย่างตรงไปตรงมาและไม่อยากให้เกิด 2 มาตรฐาน ซึ่งในวันพรุ่งนี้(10 ม.ค.) จะเดินทางไปแจ้งความที่กองปราบปรามให้ดำเนินคดีกับผู้ประกอบการที่มาปิดถนน และขอเชิญประชาชนในกทม.ที่ไม่พอใจกับเหตุการณ์ดังกล่าว ประท้วงเงียบโดยการเปิดไฟหน้ารถ หากไม่เห็นด้วยที่ผู้ประกอบการรถบรรทุกมาปิดถนนทำให้คนใช้รถใช้ถนนเดือดร้อน
“ชมรมเพื่อนทางหลวง พิจารณาแล้วเห็นว่า การร้องเรียนดังกล่าวเป็นการข่มขู่รัฐบาล ข่มเหงข้าราชการตำรวจที่อยู่ในกฎ ระเบียบวินัย นับเป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย ซึ่งอาศัยกฎหมู่อยู่เหนือกฎหมาย”นายเทพพนม กล่าว
นายเทพพนม กล่าวด้วยว่า กลุ่มของตนมีแนวทางปฏิบัติ เพื่อแสดงออกว่าไม่เห็นด้วยกับการกระทำของผู้ประกอบการรถบรรทุกโดยจะยืนถอดถอนใบอนุญาตทั้ง 6 สมาคมรถบรรทุกที่มารวมตัวกันในนามสหพันธ์การขนส่งทางบกแห่งประเทศไทยต่อไป
ต่อมาเวลา 15.00 น. ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล พ.ต.อ.ปรีดา สถาวร โฆษกกองบัญชาการตำรวจนครบาล เปิดเผยว่า ขณะนี้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจาก บก.น.2 ได้นำกำลังตำรวจจากกองบังคับการอารักขาและควบคุมฝูงชน (บก.อคฝ.) จำนวน 1 กองร้อย และเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจร รวมถึงชุดสืบสวนลงพื้นที่ เพื่อควบคุมสถานการณ์การชุมนุม รวมถึงอำนวยความสะดวกด้านการจราจร
พ.ต.อ.ปรีดา กล่าวว่า สำหรับเส้นทางการจราจรบริเวณ ถ.วิภาวดีรังสิตฝั่งขาออกทางผู้ชุมนุมเปิดให้รถยนต์สัญจรได้เพียง 1 เลน จากทั้งหมด 4 เลน ซึ่งส่งผลให้การจราจรบริเวณดังกล่าวตั้งแต่ 5 แยกลาดพร้าวติดขัดมาก สำหรับประชาชนที่จะใช้ถนนผ่านเส้นทางดังกล่าวขอแนะนำว่าให้ขึ้นทางด่วนโทลย์เวย์ เพื่อหลีกเลี่ยงเส้นทาง อย่างไรก็ตาม ถ.วิภาวดีรังสิต ฝั่งขาเข้า ยังคงใช้งานได้ตามปกติ
“ยืนยันว่าทางตำรวจเน้นการเจรจากับกลุ่มผู้ชุมนุมเป็นหลัก จะไม่มีการใช้ความรุนแรง และได้เจรจาขอให้เปิดเส้นทางการจราจรเพิ่มเติม คาดว่าการชุมนุมจะไม่ยืดเยื้อ แต่จะใช้เวลาเท่าใดในการชุมนุมนั้น ทางตำรวจไม่สามารถบอกได้ ต้องอยู่ที่การเจรจาเป็นหลัก ส่วนแผนการปฏิบัติงานทางตำรวจจะดูแลเรื่องอาคารสถานที่สำคัญในบริเวณที่มีการชุมนุมเป็นหลัก และด้านการจราจรในพื้นที่ หากการเจรจายังไม่มีความคืบหน้าจะประเมินสถานการณ์ เพื่อเพิ่มกำลังตำรวจเข้าไปดูแลพื้นที่ต่อไป” พ.ต.อ.ปรีดา กล่าว