ศาลอุทธรณ์ห็นต่างศาลอาญาฯ ชี้ “สนธิ” ปราศรัยกล่าวหา“ทักษิณ”ซื้อประชาชน-ส่งทีมล่าสังหาร-ให้คนเผาเวทีกู้ชาติ-เป็นผู้นำบ้า เป็นการแสดงความเห็นโดยสุจริต ติชมด้วยความเป็นธรรม ไม่เข้าข่ายหมิ่น ยกเว้นเรื่องหมกมุ่นไสยศาสตร์ ถือเป็นเรื่องส่วนตัว ทำให้โจทก์เสื่อมเสียชื่อเสียง พิพากษาแก้ จำคุก 1 ปี ปรับ 2 หมื่นบาท โทษจำคุกให้รอลงอาญา 2 ปี
วันนี้ (29 พ.ย.) ที่ห้องพิจารณาคดี 814 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดีหมายเลขดำที่ อ.1065/2549 และ อ.1875/2549 ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มอบอำนาจให้ นายชาตรี ถริปภัสสโร เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ และอดีตแกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และนายขุนทอง ลอเสรีวานิช บรรณาธิการผู้พิมพ์ผู้โฆษณาหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ เป็นจำเลยที่ 1- 2 ในความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา ตามประมวลกฎหมายอาญา ม.328 ประกอบ พ.ร.บ.การพิมพ์ พ.ศ. 2484 ม.48 และขอให้นับโทษจำเลยที่ 1 ต่อจากคดี อ.1241/2550 ของศาลชั้นต้นด้วย
คดีนี้โจทก์ฟ้องสรุปว่า ระหว่างวันที่ 6-22 มี.ค. 2549 จำเลยได้ปราศรัยบนเวทีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่ท้องสนามหลวง กล่าวหาโจทก์ทำนองว่าเป็นนายกรัฐมนตรีที่ใช้เงินซื้อประชาชนให้รักตัวเอง เป็นพวกหมกมุ่นเรื่องไสยศาสตร์ และโจทก์ยังเคยสั่งการให้จัดทีมเพื่อไล่ล่าสังหารจำเลย ซึ่งเป็นการใส่ความเจตนาให้โจทก์เสียชื่อเสียงและเพื่อจูงใจประชาชนที่มีสิทธิเลือกตั้งงดเว้นการลงคะแนนเสียงโจทก์และพรรคไทยรักไทย
ทั้งนี้ ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุก จำเลยที่ 1 เป็นเวลา 3 ปี จำคุกจำเลยที่ 2 เป็นเวลา 2 ปี ปรับ 4 หมื่นบาท และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันลงตีพิมพ์โฆษณาคำพิพากษาในหนังสือพิมพ์รวม 4 ฉบับ เป็นเวลา 5 วัน
ศาลอุทธรณ์พิเคราะห์แล้วเห็นว่า กรณีจำเลยที่ 1 ปราศรัยว่าไม่มีนายกรัฐมนตรีคนไหนในโลกนี้ที่เอาเงินไปซื้อประชาชนให้รักตัวเองมากขนาดนี้ ใช้เงินไปกว่า 300 ล้านบาท เมื่อวันที่ 6 มี.ค. 2549 นั้น เนื่องจากจำเลยที่ 1 รับทราบจากข้อมูลว่าการปราศรัยของพรรคไทยรักไทยนั้น มีการพาประชาชนไปฟังการปราศรัยเป็นจำนวนมาก และอาจจำเป็นต้องมีค่าใช้จ่าย เห็นว่าจำเลยที่ 1 แสดงความคิดเห็น ความเชื่อของตนเองไปโดยสุจริต ไม่เป็นการหมิ่นประมาท
กรณีจำเลยที่ 1 ได้ปราศรัยเมื่อวันที่ 10 มี.ค.ว่า ได้รับข้อมูลลับจากนายทหารระดับนายพล ว่ามีการสั่งทีมสังหารจากภาคใต้-ภาคอีสาน ให้จัดการลอบสังหารตนเอง ด้วยปืนติดกล้องนั้นรับฟังจากการนำสืบของจำเลยได้ว่า ช่วงที่เกิดเหตุ บ้านพักจำเลยที่ 1 ถูกยิงด้วยกระสุนปืน 4-5 นัดได้รับความเสียหาย และมีคนแต่งกายคล้ายเจ้าหน้าที่ไปแอบซุ่ม จนกระทั่ง พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี ได้ส่งคนมาช่วยดูแลความปลอดภัยให้จำเลยที่ 1 อีกทั้งโจทก์ไม่ได้นำสืบหักล้าง จึงเชื่อว่าเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง
กรณีจำเลยที่ 1 ได้ปรายศรัยเมื่อวันที่ 13 มี.ค.49 ว่า เวทีพันธมิตรฯ กู้ชาติที่ภูเก็ต ถูกลูกน้องของนายหน้าเหลี่ยมเผาได้รับความเสียหายนั้น เห็นว่าโจทก์สามารถแสดงความคิดเห็นได้และไม่เห็นการหมิ่นประมาท ส่วนคำปราศรัยว่าประเทศไทยเป็นประเทศเดียวในโลกที่มีคนบ้าเป็นนายกรัฐมนตรี อับอายขายหน้าเขาไปทั่วโลก ต้องไล่ให้ไปสิงคโปร์นั้น เห็นว่าจำเลยที่ 1 จัดการชุมนุมและปราศรัยเพื่อเรียกร้องให้ลาออกจากนายกรัฐมนตรี โดยความเชื่อว่าไม่ให้ประเทศชาติได้รับความเสียหายนั้น เป็นการแสดงคิดความเห็นโดยสุจริต โจทก์ไม่ได้รับความเสียหาย ไม่เป็นการหมิ่นประมาท
ส่วนกรณีจำเลยที่ 1 ปราศรัยเมื่อวันที่ 22 มี.ค.ว่า ชาติบ้านเมืองกำลังวิบัติ เพราะเรามีนายกรัฐมนตรีที่หมกมุ่นเรื่องไสยศาสตร์นั้น เห็นว่าโจทก์จะความเชื่ออย่างไรนั้นเป็นเรื่องส่วนตัวของจำเลย ไม่ได้เกี่ยวข้องกับประโยชน์ของส่วนรวม ที่จำเลยที่ 1 ปราศรัยนั้นเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท ทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง แต่เนื่องจากจำเลยที่ 1 ไม่เคยกระทำผิดมาก่อน เห็นควรให้โอกาสปรับตัวเป็นคนดี พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้น เป็นจำคุกจำเลยที่ 1 เป็นเวลา 1 ปี ปรับ 2 หมื่นบาท โทษจำคุกให้รอลงอาญา 2 ปี และให้ลงโฆษณาในหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน เป็นเวลา 5 วัน และไม่ต้องนับโทษต่อจากคดี อ.1241/2550 เนื่องจากคดียังไม่ถึงที่สุด ส่วนจำเลยที่ 2 ให้ยกฟ้อง