xs
xsm
sm
md
lg

ฎีกากลับยกฟ้อง “ประสงค์” หมิ่น “แม้ว” บกพร่องโดยสุจริต

เผยแพร่:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม

ศาลฎีกาพิพากษากลับยกฟ้อง “ประสงค์ สุ่นศิริ” บก.แนวหน้า หมิ่น “ทักษิณ” ทำการค้าขายผูกขาดเอาเปรียบประชาชนซึ่งถือเป็นการ “บกพร่องโดยสุจริต”

วันนี้ (25 ม.ค.) ศาลจังหวัดตะกั่วป่า นัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกา คดีอาญาหมายเลขแดง ที่ 215/2546 ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคเพื่อไทย เป็นโจทก์ ฟ้อง น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ, บริษัทหนังสือพิมพ์แนวหน้า จำกัด, นายวารินทร์ พูนศิริวงศ์ กรรมการบริษัทฯผู้มีอำนาจ, นายจิระพงศ์ เต็มเปี่ยม บรรณาธิการผู้พิมพ์ผู้โฆษณา และ จ.ส.ต.พิเศษ มหานีรานนท์ เป็นจำเลยที่ 1-5 ในความผิดฐานหมิ่นประมาทผู้อื่นโดยการโฆษณา ซึ่งจำเลยให้การปฏิเสธ

โจทก์ฟ้องสรุปว่า เมื่อระหว่างวันที่ 17-18 ก.ค.2549 เวลากลางวันและกลางคืนต่อเนื่องกัน จำเลยทั้งห้าได้ร่วมกันเผยแพร่ข้อความในหนังสือพิมพ์แนวหน้า โดยลงจดหมายของผู้อ่าน( จำเลยที่ 5) ในคอลัมน์ “น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริพูด” ทำนองว่า ไม่ใช่แต่ผมคนเดียวที่สงสัย คนไทยอีกหลายสิบล้านคนก็ยังสงสัย ยกเว้นบรรดาสมุนผู้ซื่อสัตย์ที่ยังเห็นว่าเงินเป็นยอดชีวิต เห็นคนมีเงินว่าดีเลิศ ไม่สืบสานที่มาของการได้เงินที่แท้จริง ผมจึงต้องเขียนมาขอให้ช่วยหาคำตอบเป็นข้อๆ ดังนี้ 1.การได้มาของสัมปทานโทรศัพท์มือถือทั้งหลายได้มาโดยวิธีใด สมัยใด ยัดเงินให้ใครที่ขณะนั้นมีอำนาจหรือเปล่า 2.การค้าขายผูกขาดเอาเปรียบพี่น้องประชาชนตาดำๆ หลายล้านคนเป็นวิธีการที่ค้าขายได้เงินบริสุทธิ์หรือไม่ 3.ราคาโทรศัพท์มือถือราคาประเทศนอกราคา 4,000-5,000 บาท มาขายให้คนไทย 40,000-50,000 บาท 4.เมื่อร่วมเป็นรัฐบาล มีการให้เงินบาทลอยตัว ทราบว่า มีการซื้อดอลลาร์ไว้มากมายจริงหรือไม่ 5.เมื่อตอนมีอำนาจได้ใช้อำนาจต่ออายุสัมปทานยืดออกไป ทั้งๆ ที่ไม่หมดสัมปทานจริงหรือไม่ 6.ที่พูดว่าประชาชนได้เลือกตั้งเข้ามาด้วยคะแนนเสียงท่วมท้น อยากทราบว่าประชาชนเลือกมาโดยบริสุทธิ์หรือว่าด้วยเงินจำนวนมหาศาล 7.อยากทราบว่า บรรดา ส.ส.ในพรรคที่มาจากพรรคอื่นๆ เข้ามาด้วยอุดมการณ์หรือมาด้วยเงิน เป็นต้น รวมคำถามทั้งหมด 17 ข้อ

น.ต.ประสงค์ จำเลยที่ 1 ตอบข้อความว่า ที่ถามมาในจดหมายนี้ ผมตอบได้ประโยคเดียวเท่านั้น คือ บกพร่องโดยสุจริตครับ ว่างๆ ส่งคำถามไปให้กระผมอีกนะครับ เพราะเป็นคำถามที่น่าสงสัยจริงๆ ไม่รู้เจ้าตัวจะเต็มใจตอบคำถามหรือไม่ ซึ่งจำเลยทั้งห้าเจตนาพิมพ์โฆษณาข้อความใส่ความหมิ่นประมาทโจทก์ ทำให้โจทก์เสื่อมเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชังต่อบุคลที่สามหรือประชาชนทั่วไป เหตุเกิดที่ ต.ตะกั่วป่า อ.ตะกั่วป่า จ.พังงา ทุกแขวง ทุกเขตในกรุงเทพมหานคร และทุกจังหวัดทั่วราชอาณาจักร ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 90, 91, 326 ,328, 332 และ พ.ร.บ.การพิมพ์ พ.ศ.2484 มาตรา 4 และ 48

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาว่า จำเลยที่ 1 จำเลยที่ 4 และจำเลยที่ 5 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 328 ประกอบมาตรา 83 พระราชบัญญัติการพิมพ์ พ.ศ.2485 จำคุกคนละ 3 เดือน ปรับคนละ 50,000 บาท แต่จำเลยไม่เคยรับโทษจำคุกมาก่อน ให้รอลงอาญาไว้ 2 ปี ให้ยกฟ้อง จำเลยที่ 2 และ 3

ต่อมาจำเลยทั้งห้ายื่นอุทธรณ์ต่อสู้คดี ศาลอุทธรณ์ พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 5 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จากนั้นโจทก์รวมทั้งจำเลยที่ 1 และ 4 ยื่นฏีกา โดยศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้วพิเคราะห์ว่า โจทก์นำสืบว่าขณะเกิดเหตุ โจทก์เป็นหัวหน้าพรรคไทยรักไทย และดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จำเลยที่ 1 นำข้อความในจดหมายของจำเลยที่ 5 มาลงพิมพ์มีลักษณะเป็นคำถามที่ชี้นำคำตอบอยู่ในตัว และมีความหมายเป็นการใส่ความโจทก์ ส่วนจำเลยที่ 1 นำสืบว่า ตนเพียงแต่ลงพิมพ์ข้อความโดยการตั้งคำถามที่เกี่ยวข้องกับนักการเมือง ซึ่งเป็นคำถามที่เคยปรากฏเป็นข่าวในสังคม ประชาชนทั่วไปมีความสงสัยต้องการคำตอบตามจดหมายที่ผู้ใช้นามว่า จ.ส.ต.พิเศษ มหานีรานนท์ ซึ่งจำเลยที่ 5 ส่งไปถึงตน ในฐานะ เจ้าของคอลัมน์ “น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริพูด” และการเขียนบทความดังกล่าว ไม่ได้เป็นการชี้นำ ไม่มีเจตนาดูหมิ่นหรือหมิ่นประมาทโจทก์ แต่เป็นการใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ

นอกจากนี้ จำเลยที่ 4 นำสืบว่า ได้อ่านบทความของจำเลยที่ 1 แล้วเห็นว่าเป็นคำถามและคำตอบทั่วไปที่กล่าวถึงบุคคลสาธารณะ ซึ่งประชาชนย่อมวิพากษ์วิจารณ์ได้ตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ

ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า จากข้อเท็จจริงต่างๆ ที่เกิดขึ้นและมีส่วนเกี่ยวข้องกับโจทก์ตั้งแต่โจทก์เป็นนักธุรกิจมาจนกระทั่งโจทก์ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ซึ่งถือเป็นตำแหน่งสูงสุดของฝ่ายบริหาร ก็ย่อมเป็นธรรมดาที่จะมีประชาชน สื่อสารมวลชน รวมทั้งกลไกต่างๆ ในสังคมสงสัยว่าโจทก์มีพฤติกรรมหรือได้กระทำการตามที่ตกเป็นข่าวหรือไม่ เพราะหากโจทก์มีพฤติกรรมดังที่ตกเป็นข่าวจริง โจทก์ก็จะกลายเป็นบุคคลที่ไม่เหมาะสมจะมาดำรงตำแหน่งทางการเมือง โดยเฉพาะตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเมื่อมีความเคลือบแคลงสงสัยประชาชนโดยทั่วไป ย่อมมีสิทธิที่จะแสดงความคิดเห็นหรือตั้งคำถามในเชิงวิพากษ์วิจารณ์โจทก์ซึ่งถือเป็นบุคคลสาธารณะเพื่อให้สังคมช่วยกันขบคิดหาคำตอบ

การตั้งคำถามในเชิงวิพากษ์วิจารณ์ดังกล่าวถือเป็นวิธีการหนึ่งในการควบคุมตรวจสอบนักการเมืองซึ่งมาจากการเลือกตั้งของประชาชนให้ปฏิบัติหน้าที่อยู่ในทำนองคลองธรรม และเป็นการป้องปรามมิให้นักการเมืองใช้ตำแหน่งหน้าที่ทางการเมืองแสวงหาผลประโยชน์โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย การที่จำเลยที่ 5 ซึ่งเป็นประชาชนคนหนึ่งส่งข้อความในลักษณะตั้งคำถาม ไปยังจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นสื่อมวลชน โดยคำถามทั้งหมดมีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับโจทก์ตั้งแต่ประกอบกิจการที่ได้รับสัมปทานจากรัฐจนกระทั่งโจทก์ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เป็นคำถามที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของประชาชนและส่วนรวม ย่อมเป็นการแสดงความคิดเห็นหรือติชมโดยสุจริตติชมด้วยความเป็นธรรม ซึ่งสามารถกระทำได้ การกระทำของจำเลยที่ 5 จึงไม่เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท เมื่อจดหมายของจำเลยที่ 5 ส่งไปยังจำเลยที่ 1 ไม่เป็นการหมิ่นประมาทโจทก์แล้ว การที่จำเลยที่ 1 นำข้อความในจดหมายมาลงพิมพ์ก็ย่อมไม่เป็นความผิดเช่นเดียวกัน ส่วนที่จำเลยที่ 1 เขียนข้อความตอบคำถามของจำเลยที่ 5 ลงในคอลัมน์ว่า “บกพร่องโดยสุจริต” นั้น พยานหลักฐานโจทก์ในการนำสืบรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 กระทำผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา

สำหรับจำเลยที่ 4 ในส่วนที่โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษในฐานะบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ซึ่งลงข้อความหมิ่นประมาทโดยการโฆษณาตาม ประมวลกฎหมายอาญาและ ตาม พระราชบัญญัติการพิมพ์ พ.ศ.2484 นั้น ขณะนี้ได้มีพระราชบัญญัติจดแจ้งการพิมพ์ พ.ศ.2550 มาตรา 3 ให้ยกเลิกพระราชบัญญัติการพิมพ์ พ.ศ.2484 ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 19 ธ.ค.2550 เป็นต้นไป และพระราชบัญญัติดังกล่าว ไม่ได้บัญญัติให้บรรณาธิการหนังสือพิมพ์เป็นผู้รับผิดชอบในข้อความที่ลงพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ที่ตนเป็นบรรณาธิการ จำเลยที่ 4 ย่อมพ้นจากการเป็นผู้กระทำความผิดในส่วนนี้ ส่วนที่โจทก์ขอให้ลงโทษจำเลยที่ 4 ฐานร่วมกับจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 5 หมิ่นประมาทโจทก์โดยการโฆษณานั้น เมื่อการกระทำของจำเลยที่ 1และจำเลยที่ 5ไม่เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณาแล้ว จำเลยที่ 4 จึงไม่มีความผิดฐานร่วมกันหมิ่นประมาทโดยการโฆษณาด้วย ที่ศาลพิพากษามานั้นศาลฎีกาเห็นพ้องบางส่วน ฏีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น ส่วนฏีกาของจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 4 ฟังขึ้น พิพากษาแก้เป็นว่าให้ยกฟ้อง จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 4 ด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
กำลังโหลดความคิดเห็น