ศาลอุทธรณ์เลื่อนฟังคำพิพากษา “เกริกเกียรติ ชาลีจันทร์” อดีต กก.ผจก.ใหญ่บีบีซี ยักยอกทรัพย์ 1.2 พันล้าน เหตุป่วยมะเร็งปอดต้องพักรักษาตัวมาศาลไม่ได้ นัดอีกครั้ง 16 พ.ย.นี้
วันนี้ (1 พ.ย.) เมื่อเวลา 10.00 น. ที่ห้องพิจารณา 807 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดฟังคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ คดีหมายเลขดำที่ ด.6173/2542 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีเศรษฐกิจและทรัพยากร 1 และธนาคารกรุงเทพฯ พาณิชย์การ จำกัด (มหาชน) หรือบีบีซี ร่วมกันเป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายเกริกเกียรติ ชาลีจันทร์ อดีตกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพพาณิชยการ จำกัด (มหาชน), ม.ร.ว.อรอนงค์ เทพาคำ อดีตรองผู้อำนวยการฝ่ายบริหารเงินและวิเทศธนกิจ และ น.ส.เยาวลักษณ์ นิตย์ธีรานนท์ อดีตรองผู้อำนวยการฝ่ายบริหารเงินและวิเทศธนกิจ เป็นจำเลยที่ 1-3 ในความผิดฐานร่วมกันยักยอกทรัพย์, เป็นผู้ได้รับมอบหมายให้จัดการสินทรัพย์กระทำผิดต่อหน้าที่โดยทุจริตตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 352, 353, 354 และกระทำผิด พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 โดยจำเลยทั้งสามร่วมกับนายราเกซ สักเสนา อดีตที่ปรึกษา กก.ผจก.ใหญ่บีบีซี ที่ยังไม่ได้ตัวมาฟ้องยักยอกทรัพย์บีบีซี มูลค่า 1,228,896,438 บาท จากการลงนามทำสัญญาแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ธนบัตรระหว่างบีบีซี กับบริษัท ดิเวลลอปเมนท์ ไฟแนนซ์ แอนด์ อินเวสเมนท์ จำกัด เมื่อเดือน พ.ค. 2538
อย่างไรก็ตาม เมื่อถึงเวลาทนายความนายเกริกเกียรติ จำเลยที่ 1 ได้แถลงต่อศาลว่า ขณะนี้นายเกริกเกียรติ มีอาการป่วยหนักด้วยโรคมะเร็งปอด และโรคหัวใจ ต้องเข้ารักษาตัวที่ รพ.บำรุงราษฎร์ ไม่สามารถเดินทางมาศาลได้ จึงขออนุญาตเลื่อนฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ไปก่อน
ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่ากรณีมีเหตุอันสมควร จึงเลื่อนฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์อีกครั้งในวันที่ 16 พ.ย.นี้ เวลา 09.30 น.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับคดียักยอกทรัพย์บีบีซีคดีนี้เป็นสำนวนที่ 7 ซึ่งศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 19 เม.ย.50 ว่า จำเลยทั้งสามกระทำผิดตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ มาตรา 33, 37-39 และ 311 และประมวลกฎหมายอาญามาตรา 352-354 อันเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้เรียงกระทงลงโทษทุกกรรม โดยลงโทษบทหนักสุดฐานเป็นผู้ได้รับมอบหมายให้จัดการหลักทรัพย์ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ทุจริตต่อหน้าที่ ให้จำคุกจำเลยทั้งสามคนละ 2 กระทง ๆ ละ 10 ปีรวมจำคุกจำเลยที่ 1-3 คนละ 20 ปี และให้ปรับ 1,157,244,186.28 บาท พร้อมให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชดใช้เงินคืนแก่บีบีซี จำนวน 589,622,043.04 บาท และให้นับโทษจำเลยที่ 1 ต่อจากคดีที่ศาลอาญากรุงเทพใต้และศาลอาญามีคำพิพากษาแล้ว 5 สำนวน ที่ให้จำคุกจำเลยที่ 1 รวม 70 ปีด้วย