เลื่อนอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ “เกริกเกียรติ ชาลีจันทร์” อดีต กก.ผจก.ใหญ่บีบีซี คดียักยอกทรัพย์บีบีซี 1.2 พันล้าน เนื่องจากจำเลยมีอาการท้องร่วงรุนแรง ไม่สามารถยืนหรือเดินได้นานๆ อีกทั้งมีอาการโรคหัวใจ และมะเร็ง ต้องพักรักษาตัวอยู่ รพ.ศาลนัดอีกครั้ง 1 พ.ย.นี้
วันนี้ (28 ก.ย.) เวลา 10.30 น. ที่ห้องพิจารณาคดี 813 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลมีคำสั่งเลื่อนนัดอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดีหมายเลขดำที่ ด.6173/2542 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีเศรษฐกิจและทรัพยากร และธนาคารกรุงเทพฯพาณิชย์การ จำกัด (มหาชน) หรือบีบีซี ร่วมกันเป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายเกริกเกียรติ ชาลีจันทร์ อดีตกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารบีบีซี, ม.ร.ว.อรอนงค์ เทพาคำ อดีตรองผู้อำนวยการฝ่ายบริหารเงินและวิเทศธนกิจ และ น.ส.เยาวลักษณ์ นิตย์ธีรานนท์ อดีตรองผู้อำนวยการฝ่ายบริหารเงินและวิเทศธนกิจ เป็นจำเลยที่ 1-3 ในความผิดฐานร่วมกันยักยอกทรัพย์, เป็นผู้ได้รับมอบหมายให้จัดการสินทรัพย์กระทำผิดต่อหน้าที่โดยทุจริตตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 352, 353, 354 และกระทำผิด พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 โดยจำเลยทั้งสามร่วมกับนายราเกซ สักเสนา อดีตที่ปรึกษา กก.ผจก.ใหญ่บีบีซี ที่ยังไม่ได้ตัวมาฟ้องยักยอกทรัพย์บีบีซี มูลค่า 1,228,896,438 บาท จากการลงนามทำสัญญาแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ธนบัตรระหว่างบีบีซี กับบริษัท ดิเวลลอปเมนท์ ไฟแนนซ์ แอนด์ อินเวสเมนท์ จำกัด เมื่อเดือนพฤษภาคม 2538
โดยทนายความแถลงต่อศาลว่า ได้รับแจ้งว่าขณะนี้นายเกริกเกียรติ จำเลยที่ 1 กำลังเข้ารักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ เนื่องจากมีอาการท้องร่วงอย่างรุนแรง ไม่สามารถที่จะยืนหรือเดินได้เป็นเวลานานๆ นอกจากนี้ยังมีอาการเกี่ยวกับโรคหัวใจ มะเร็ง ซึ่งแพทย์กำลังวินิจฉัยและรักษาอาการ โดยขออนุญาตเลื่อนการฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ไปอีก 1 เดือน
ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่า กรณีมีเหตุอันสมควร จึงนัดอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์อีกครั้งในวันที่ 1 พ.ย.นี้ เวลา 09.00 น.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับคดียักยอกทรัพย์บีบีซี คดีนี้เป็นสำนวนที่ 7 ซึ่งศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 19 เม.ย.50 ว่า จำเลยทั้งสามกระทำผิดตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ มาตรา 33, 37-39 และ 311 และประมวลกฎหมายอาญามาตรา 352-354 อันเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้เรียงกระทงลงโทษทุกกรรม โดยลงโทษบทหนักสุดฐานเป็นผู้ได้รับมอบหมายให้จัดการหลักทรัพย์ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ทุจริตต่อหน้าที่ ให้จำคุกจำเลยทั้งสามคนละ 2 กระทง ๆ ละ 10 ปีรวมจำคุกจำเลยที่ 1-3 คนละ 20 ปี และให้ปรับ 1,157,244,186.28 บาท พร้อมให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชดใช้เงินคืนแก่บีบีซี จำนวน 589,622,043.04 บาท และให้นับโทษจำเลยที่ 1 ต่อจากคดีที่ศาลอาญากรุงเทพใต้และศาลอาญามีคำพิพากษาแล้ว 5 สำนวนที่ให้จำคุกจำเลยที่ 1 รวม 70 ปีด้วย