โฆษกอัยการสูงสุดแถลงย้ำ สั่งไม่ฎีกา “หญิงอ้อ” เลี่ยงภาษีตามกฎหมาย ไม่มีการเมืองแทรก ยันไม่เคยมีใครถูกจำคุกคดีเลี่ยงภาษี โดยคดีนี้อัยการสูงสุดพิจารณารอบคอบแล้ว
วันนี้ (11 ต.ค.) เมื่อเวลา 14.00 น.ที่ห้องประชุม 100 ปี สำนักงานอัยการสูงสุด ถ.รัชดาภิเษก นายวินัย ดำรงค์มงคลกุล อธิบดีอัยการสำนักงานคดีพิเศษ ในฐานะโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด แถลงถึงกรณี นายจุลสิงห์ วสันตสิงห์ อัยการสูงสุด ไม่ยื่นฎีกาคดี นายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ คุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพ็ชร และนางกาญจนาภา หงษ์เหิน เป็นจำเลยในความผิดฐานร่วมกันหลีกเลี่ยงภาษีอากรและร่วมกันแจ้งความเท็จโดยจงใจเพื่อหลีกเลี่ยงภาษี ว่า คณะทำงานอัยการที่รับผิดชอบพิจารณาสำนวนคดีที่ดำเนินการโดยคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ได้พิจารณามีความเห็นเป็นเอกฉันท์ว่าการที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำคุกนายบรรณพจน์ จำเลยที่ 1 เป็นเวลา 2 ปี และปรับ 100,000 บาท แต่โทษจำคุกให้รอลงอาญา และให้ยกฟ้องคุณหญิงพจมาน และ นางกาญจนาภา จำเลยที่ 2-3 นั้นชอบแล้ว เห็นควรไม่ฎีกาคดีนี้ ทุกคนทุกข้อหาเสนอต่อนายจุลสิงห์ อัยการสูงสุดพิจารณาโดยรอบคอบแล้ว เห็นพ้องกับคณะทำงานจึงมีคำสั่งไม่ฎีกาคดีนี้
“ที่หลายฝ่ายวิพากษ์วิจารณ์ว่าอัยการสูงสุดสั่งคดีตามอำเภอใจนั้น เป็นไปไม่ได้ แม้อัยการมีอิสระในการสั่งคดี แต่ต้องอยู่ในกรอบกฎหมาย ไม่นำกระแสการเมืองมาพิจารณา และไม่ได้คำนึงว่าจำเลยจะชื่อนามสกุลใด คดีที่เกี่ยวกับตระกูลชินวัตร อัยการสูงสุดก็สั่งฟ้องจนศาลพิพากษาความผิดไปหลายคดีทั้งคดีที่ดินรัชดาฯ และยึดทรัพย์ 46,000 ล้านบาท” โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุดกล่าว
นายวินัยกล่าวว่า ตามที่มีผู้กล่าวอ้างว่า การสั่งไม่ฎีกาคดีนี้ทำให้ประเทศสูญเงินภาษีจำนวนมากนั้น เป็นเรื่องเข้าใจคลาดเคลื่อน โดยคดีที่สั่งไม่ฎีกานั้นเป็นเฉพาะคดีอาญา ซึ่งตามกฎหมายกำหนดให้แยกจากคดีประเมินภาษี ซึ่งเป็นเรื่องทางแพ่งอย่างชัดเจน โดยคดีประเมินภาษีไม่ต้องรอผลคดีอาญา โดยในคดีประเมินภาษีนั้นเจ้าพนักงานประเมินได้ออกหนังสือประเมินภาษี นายบรรณพจน์ จำเลยที่ 1 จำนวน 273,060,000 บาท นายบรรณพจน์ได้อุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ตามประมวลรัษฎากร โดยวางเงินประกันค่าภาษีรวมเงินเพิ่มค่าปรับจำนวน 546,120,000 บาท คณะกรรมการพิจารณาฯ และได้มีคำวินิจฉัยให้ปลดภาษีเรียกเก็บมาแล้วจำนวน 546,120,000 บาท ของนายบรรณพจน์เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2551 และมีผลให้คืนหลักประกัน ดังนั้น การสั่งไม่ฎีกาคดีอาญานี้จึงไม่มีผลต่อคดีประเมินภาษี
“การยื่นภาษีเงินได้นั้นเป็นเรื่องส่วนบุคคล และตั้งแต่บังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับการเสียภาษีรายได้มาได้เคยสอบถามรองอธิบดีกรมสรรพากรตอบไม่เคยมีใครถูกจำคุกในความผิดฐานนี้มาก่อน โดยคดีนี้ถือเป็นคดีแรกด้วยซ้ำไป ซึ่งคดีนี้เกิดตั้งแต่ปี 2540 แต่เจ้าหน้าที่มาเรียกเก็บในปี 2550 คิดดูเอาเองแล้วกัน และศาลอุทธรณ์ก็ได้วินิจฉัยไว้แล้วว่า มีการเรียกเก็บภาษีคดีนี้ไม่ถูกต้อง ดังนั้นอัยการจึงไม่มีประเด็นที่จะต้องยื่นฎีกา” โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุดกล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า ที่ฝ่ายกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์ขอเอกสารหลักฐาน และความเห็นของอัยการที่สั่งไม่ฎีกาคดีนี้ นายวินัยกล่าวว่า กำลังพิจารณาว่าจะสามารถมอบเอกสารชิ้นใดให้ได้บ้าง แต่เอกสารบางอย่างที่ขออัยการก็ไม่มี ซึ่ง นายจุลสิงห์ อัยการสูงสุด ได้ส่งมอบให้กับวุฒิสภาจำนวน 1 แฟ้มใหญ่ประกอบการชี้แจ้งแล้ว
ผู้สื่อข่าวถามต่อว่า พรรคประชาธิปัตย์อาจยื่นถอดถอนอัยการสูงสุด นายวินัยกล่าวว่า ไม่ทราบจะถอดถอนด้วยเรื่องอะไร เพราะอัยการมีความเห็นอย่างตรงไปตรงมา และคณะทำงานของอัยการตรวจสอบคดี คตส.ก็มีความเห็นพ้องไปในทางเดียวกันโดยชอบด้วยกฎหมาย