ผบ.ตร.เผยกระบอกเสียงของ ตร.ต้องกระจายข่าวที่ถูกต้องไม่ผิดพลาด เป็นประโยชน์ส่งผลดีไม่ให้คนทำผิดเลือกตั้ง ปัดยังไม่ได้รับรายงาน “2 นายพล” ไม่เป็นกลางเลือกตั้ง ย้ำ ต้องรอผลตรวจสอบทั้งสองทาง อาจกลั่นแกล้งกันได้ ลั่นพร้อมจัดการตำรวจไม่เป็นกลาง ชี้ถือว่าผิดวินัย ขู่เด้งออกนอกพื้นที่ทันที พร้อมขานรับสั่งปลดป้ายโหวตโนทั้งหมด
วันนี้ (9 มิ.ย.) ที่โรงแรมรามาการ์เด้น พล.ต.อ.วิเชียร พจน์ โพธิ์ศรี ผบ.ตร.เป็นประธานเปิดโครงการการสัมมนาโฆษกประจำหน่วยงานสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อรองรับการเลือกตั้งและเตรียมความพร้อมการทำหน้าที่ประชาสัมพันธ์ประจำหน่วยงาน โดย พล.ต.อ.วิเชียร ได้ปาถกฐาพิเศษ หัวข้อ “การปฏิบัติการข่าวสารเพื่อสนับสนุนการปฏิบัติตามแนวทางการบริการดุจญาติพิทักษ์ราษฎร์ดุจครอบครัว” ใจความว่า หน้าที่ของประชาสัมพันธ์หน่วยงานส่วนหนึ่งจะต้องปลูกฝังจิตสำนึกของเจ้าหน้าที่ตำรวจว่ามีฐานะเป็นผู้ให้บริการ โดยประชาชนเป็นผู้ใช้บริการ ไม่ใช่เจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นนายมีอำนาจเหนือประชาชน ซึ่งผู้ทำงานด้านประชาสัมพันธ์จะต้องคอยตรวจสอบวัดความรู้สึกของประชาชนผู้รับบริการเพื่อปรับปรุงการทำงาน นอกจากนั้นยังมีหน้าที่เป็นแหล่งข่าวสารที่มีประโยชน์ให้กับประชาชน เตือนประชาชนถึงแผนประทุษกรรมของคนร้าย สร้างให้องค์กรมีความน่าเชื่อถือ ทำความเข้าใจกับประชาชน และเน้นเรื่องของการตรวจสอบข้อเท็จจริงต่างๆก่อนที่จะมีการแถลงข่าวจะได้ไม่มีข้อผิดพลาดจนถึงขั้นมีการฟ้องกลับ อย่างกรณีการจับคนร้ายผิดตัว และคาดหวังว่าการสัมมนาครั้งนี้ได้ช่วยนำเสนอข้อมูลข่าวสารที่ตรงไปตรงมาทันเหตุการณ์ เพื่อเป็นประโยชน์ต่อภาพรวมในการรักษาความสงบเรียบร้อย ป้องกันไม่ให้เกิดการกระทำผิดกฎหมายเลือกตั้งและไม่ให้เป็นภาระต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ หรือ กกต.
พล.ต.อ.วิเชียร ให้สัมภาษณ์ภายหลังการเปิดสัมมนาว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติมีความห่วงใยเรื่องกรณีของป้ายโนโหวต โดยทาง ศรส.ลต.ตร.ได้ทำหนังสือประสานกับ กกต.ตั้งแต่เมื่อวันที่ 30 พ.ค.ช่วยพิจารณาดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ เพราะเห็นว่าการติดตั้งป้ายหรือถือป้ายดังกล่าวทำให้เกิดการกระทบกระทั่งกันอย่างที่เกิดขึ้น จนกระทั่ง กกต.ได้มีการประชุมและมีมติ 4 ต่อ 1 สั่งปลดป้ายโหวตโนรูปสัตว์ เนื่องจากผิดกฎหมายเลือกตั้ง และ พ.ร.บ.รักษาความสะอาด ซึ่งเบื้องต้นคาดว่าจะมีมติให้ทาง กทม.นำป้ายออก และไม่ให้ถือป้ายดังกล่าวหาเสียงนำไปสู่ความไม่สงบเรียบร้อย ส่วนเจ้าหน้าที่จะดูแลป้องกันเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์กระทบกระทั่งกัน และรอแนวทางการปฏิบัติที่ชัดเจนจาก กกต.ว่าจะให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินการอย่างไร
ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่กองทัพแจ้งความดำเนินคดีกับ นายไพไรจน์ อิสรเสรีพงษ์ ผู้สมัคร ส.ส.กทม.เขต 9 พรรคเพื่อไทย ขัดขวางการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการแก้ปัญหายาเสพติด 315 จะมีการปรับเปลี่ยนการทำงานหรือไม่ พล.ต.อ.วิเชียร กล่าวว่า เบื้องต้นทราบว่า เหตุเกิดในเขตพื้นที่หนองจอก เจ้าหน้าที่ทั้งทหารและพลเรือนได้เข้าไปสำรวจข้อมูลตามแบบฟอร์มที่ตำรวจออกแบบ โดย พล.ต.ท.วรพงษ์ ชิวปรีชา ผู้ช่วยผบ.ตร.ในฐานะหัวหน้าชุด ซึ่งเป็นแบบฟอร์มที่ทางเจ้าหน้าที่ใช้ทั่วไปในการสแกนพื้นที่ เพื่อดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยตามภาระหน้าที่ซึ่งใช้มานานแล้ว โดยเมื่อเข้าไปในเขตพื้นที่ดังกล่าวมีผู้สนับสนุนพรรคการเมืองดังกล่าวยื้อแย่งเอกสารส่วนนี้ไป จึงได้รับแจ้งและดำเนินไปตามกฎหมาย อย่างไรก็ตามยืนยันว่า จะดำเนินการแผนงานของชุด ฉก.315 ต่อไป เพราะปัญหายาเสพติดเป็นเรื่องที่สำคัญกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่เพียงพอก็ต้องอาศัยกำลังจากทหารและพลเรือน
พล.ต.อ.วิเชียร กล่าวต่อไปว่า หลังจากมีเหตุการณ์นี้ก็อาจให้เจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติงานเพิ่มความระมัดระวังในการเข้าพื้นที่ และให้ชี้แจงการทำงานให้ประชาชนเข้าใจ ซึ่งชุดที่เข้าไปก็ต้องมีตำรวจเข้าไปด้วยอย่างน้อย 1 นาย อาจจะลดความหวาดระแวงของประชาชนได้ หากพบเข้าไปในพื้นที่ใดแล้วมีกลุ่มต่อต้านต้องชี้แจงให้เข้าใจ แต่หากขัดขวางการทำงานต้องดำเนินการ
สำหรับกรณีร้องเรียนจากพรรคเพื่อไทยได้มีการแจ้งไปทาง นายวิชาญ มีนชัยอนันต์ ผู้สมัครส.ส.พรรคเพื่อไทยแล้ว ว่า แบบฟอร์มที่ใช้และการทำงานไม่ได้แตกต่างจากที่ทำมาโดยตลอด ซึ่งขณะนี้ยังไม่พบสิ่งที่รุนแรงมากขึ้นกว่าเดิม
ผู้สื่อข่าวถามถึงการวางตัวเป็นกลางของเจ้าหน้าที่ตำรวจในช่วงการเลือกตั้ง พล.ต.อ.วิเชียร กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจจะต้องวางตัวเป็นกลางเท่านั้น ถ้าเจ้าหน้าที่วางตัวไม่เป็นกลางถือว่าผิดกฎหมายอาญาที่จะนำไม่สู่การเลือกตั้งไม่เป็นตามความบริสุทธิ์เที่ยงธรรม ซึ่งต้องจับกุมดำเนินคดีและรายงานไปทาง กกต.ซึ่งได้สั่งการไปแล้ว โดยการกระทำให้มีการให้โทษหรือกลั่นแกล้งดังกล่าว ถือว่าเป็นการผิดวินัยทำไม่ได้ หรือถ้ามีการร้องเรียนเข้ามาว่าทำหน้าที่ไม่เป็นกลาง เบื้องต้นผู้บังคับบัญชาต้องสั่งระงับการปฏิบัติหน้าที่ตรงนั้นและให้ไปปฏิบัติหน้าที่ในส่วนอื่นทันที
ส่วนกรณีเรื่องของนายตำรวจยศ “พล.ต.ท.2 นาย” ที่มีข่าวว่าอาจมีการวางตัวไม่เป็นกลางนั้น ผบ.ตร.กล่าวว่า ตนยังไม่ได้รับรายงานเข้ามา ซึ่งบางทีต้องรอผลการตรวจสอบทั้งสองด้านอาจจะเกิดการกลั่นแกล้งกันได้ ซึ่งต้องให้ความเป็นธรรม ต้องดูหลักฐานการร้องเรียนว่ามีความชัดเจนแค่ไหน โดยมีผู้ร้องเรียนเป็นตัวเป็นตนหรือไม่ หากเป็นกระแสข่าวต้องมีการตรวจสอบว่ามีข้อเท็จจริงอย่างไร
ด้าน พล.ต.ต.ประวุฒิ ถาวรศิริ โฆษก ตร.กล่าวว่า ถึงขณะนี้มีผู้ร้องเรียนเรื่องการวางตัวไม่เป็นกลางของเจ้าหน้าที่ 4 นาย ซึ่งอยู่ระหว่างการตรวจสอบยังไม่ชัดเจนว่าทำผิดหรือไม่ ส่วนเรื่องความหวาดระแวงขอประชาชนและผู้สมัคร ส.ส.เรื่องการวางตัวไม่เป็นกลางของเจ้าหน้าที่นั้นก็ต้องมี เพราะตำรวจบางคนมีญาติเป็นนักการเมือง เป็นผู้บริหารพรรคการเมือง ซึ่งความหวาดระแวงจึงห้ามไม่ได้ แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจก็มีมาตรการในการดูแลอยู่แล้ว โดยให้ พล.ต.ท.สถาพร หลาวทอง จเรตำรวจแห่งชาติ และผู้บัญชาการจเรทั้ง 10 เขต คอยตรวจสอบในเรื่องนี้ทั้งจากที่ประชาชนร้องเรียนมาและจากพรรคการเมือง และกำชับผู้บังคับบัญชาให้ดูแลผู้ใต้บังคับบัญชา เพราะหากผู้ใต้บังคับบัญชาถูกกล่าวหาผู้บังคับบัญชาก็ปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้ ส่วนถ้าเป็นกรณี พล.ต.ท.วางตัวไม่เป็นกลางก็เป็นหน้าที่ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่จะตรวจสอบต่อไป