xs
xsm
sm
md
lg

เห็นใจทุกฝ่าย : กรณีวิสามัญฯ"ไอ้คลั่ง"กลางกรุง

เผยแพร่:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม

นายธาดา อินทมาศ อายุ 37 ปี หนุ่มคลั่งที่ก่อเหตุ
"จารบุรุษ"
jaraburus@hotmail.com

คดีสะเทือนขวัญกลางกรุง ที่มีนายธาดา อินทมาศ วัย 37 ปี ก่อเหตุชิงรถยนต์ แทงตำรวจ ยิงแท็กซี่พลเมืองดี ขับรถพุ่งชนตำรวจ และจับตัวแพทย์หญิงเป็นตัวประกัน สุดท้ายถูกตำรวจวิสามัญฆาตกรรม เสียชีวิตกลางกรุง ในระหว่างที่หลายคนกำลังสนุกสนานกับเทศกาลสงกรานต์กันอยู่เมื่อเช้าวันที่ 14 เม.ย.ที่เพิ่งผ่านพ้นไป โดยคดีนี้ ถูกสังคมวิพากษ์วิจารณ์หนัก ในประเด็นที่ แพทย์หญิงซึ่งตกเป็นตัวประกันนั้น ถูกคมกระสุนของตำรวจ ได้รับบาดเจ็บ โดยรถโตโยต้าคัมรี่ ของแพทย์หญิง มีรูกระสุนปืนของตำรวจถึง 35 รู!

แน่นอน ข้อครหาย่อมหนีไม่พ้นตำรวจ บ้างก็ว่า ทำเกินกว่าเหตุ บ้างก็ว่า ทำไมต้องยิงถึง 35 นัด แต่ในข้อเท็จจริง ในสถานการณ์ที่วิกฤติและชุลมุนขณะเกิดเหตุนั้น ย่องไม่มีใครรู้ว่า อะไรจะเกิดขึ้น ตำรวจเอง ก็มีเจตนาที่จะทำหน้าที่เพื่อต้องการ"หยุด"คนร้ายให้ได้ อีกทั้งเป็นเรื่องบังเอิญเสียเหลือเกิน ที่รถยนต์โตโยต้าคัมรี่ ที่คนร้ายจี้ชิงมานั้น เป็นรถสีและรุ่นเดียวกันทั้ง 2 คัน ตำรวจที่วิสามัญฯคนร้าย ซึ่งประกอบด้วย ตำรวจจากบก.สปพ.บช.น. เจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน สน.พญาไท และอีกหลายหน่วยที่ร่วมกันติดตามคนร้าย ซึ่งก่อเหตุต่อเนื่องติดต่อกันมาหลายท้องที่ บ้างก็อ้างว่า ไม่รู้ว่า ภายในรถมีตัวประกัน ซึ่งก็อาจเป็นไปได้

หลังจากเหตุการณ์ผ่านพ้นไป ตำรวจชุดที่สยบคนร้าย ถูกตั้งกรรมการสอบรวม 22 นาย โดยพล.ต.ต.ประวุฒิ ถาวรศิริ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติออกมาพูดเอง ซึ่งการตั้งกรรมการสอบในครั้งนี้ เพื่อให้ข้อเท็จจริงกระจ่าง มิใช่เพื่อเอาผิดตำรวจทั้ง 22 นาย ในขณะเดียวกัน หน่วยงานอื่น อาทิ คณะกรรมาธิการตำรวจ สภาผู้แทนราษฎร ก็บอกว่าจะเรียกตำรวจทั้ง 22 นายมาให้ปากคำ เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงเช่นกัน

เรื่องนี้ "จารบุรุษ"เห็นว่า หากจะให้ข้อเท็จจริงปรากฏก็ทำกันไป ไม่ได้ว่าอะไร แต่สิ่งที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติจะต้องนำกลับไปทบทวน หรือสังคายนาเสียใหม่ทั้งหมด นั่นก็คือ "การสกัดจับคนร้าย" ซึ่งจะเห็นว่า คนร้าย ถูกตำรวจติดตามมาหลายท้องที่ ตั้งแต่บางกรวย นนทบุรี ผ่านท้องที่สน.บางพลัด ผ่านสน.ดุสิต สุดท้ายไปสิ้นฤทธิ์ในท้องที่สน.พญาไท ทั้งหมดย่อมแสดงให้เห็นว่า ในการสกัดจับของตำรวจนั้นด้อยประสิทธิภาพยิ่งนัก เรื่องนี้ ตำรวจเองต้องยอมรับความจริงด้วย แม้ในวันเกิดเหตุ จะเป็นช่วงเทศกาลสงกรานต์ ที่ในเมืองหลวงไม่ติดขัดด้วยสภาพการจราจรก็ตาม ซึ่งในทางกลับกัน ในสภาพการจราจรที่คล่องตัวดังกล่าว ตำรวจน่าจะฉับไวกว่านี้

ในขณะเดียวกัน "จารบุรุษ" ไม่อยากเห็นสตช. สั่งตั้งกรรมการสอบตำรวจทั้ง 22 นาย เพราะอย่างน้อย พวกเขา ก็ได้ปฏิบัติตามหน้าที่ของผู้พิทักษ์สันติราษฎร์อยู่แล้ว และควรจะให้กำลังใจ เหมือนอย่างที่พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ผบก.น.1 วอนให้สังคมเห็นใจการปฏิบัติตามหน้าที่ของผู้ใต้บังคับบัญชาด้วย

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ตำรวจควรจะต้องรีบทำ นั่นคือ การนับถือในน้ำใจของนางลักขณา สายโลหิต มารดาของ พญ.พิภัทรา หรือหมอกวาง สายโลหิตด้วย โดยนางลักขณา ซึ่งตกเป็นเหยื่อของคนร้ายรายนี้ด้วยนั้น บอกว่า "ที่ตำรวจยิงใส่คนร้ายขณะที่บุตรสาวนั่งอยู่ด้วย ไม่ติดใจเอาความเจ้าหน้าที่ เพราะถือว่าตำรวจได้ช่วยเต็มที่แล้ว" ซึ่งต่อไปสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ควรเยี่ยวยาครอบครัวของ"หมอกวาง" อย่าให้ได้รับผลกระทบทางจิตใจอีก โดยเฉพาะประเด็นรถโตโยต้า คัมรี่ของคุณหมอ ที่มีรอยรูกระสุนถึง 35 รู

ขณะเดียวกันต้องไม่ลืมช่วยเหลือครอบครัวของนายอำนาจ พวงสูงเนิน โชเฟอร์แท็กซี่พลเมืองดี ที่ต้องมาจบชีวิตลงด้วยวัยเพียง 34 ปี จากเหตุการณ์ในครั้งนี้ รวมทั้งตำรวจอีก 2 นายที่ต้องเสียชีวิต 1 บาดเจ็บ 1 ทั้ง 2 นายด้วย

สุดท้าย เรื่องนี้ ตำรวจเอง ที่ต้องออกมารับบทเป็นพระเอก ช่วยเหลือทุกฝ่ายอย่างจริงใจ แสดงให้สังคมเห็นว่า เมื่อบางสิ่งบางอย่างผิดพลาด ก็ต้องยอมแอ่นอกรับ ให้สมกับความเป็นสุภาพบุรุษ ซึ่ง"จารบุรุษ" เชื่อว่า สังคม ไม่ได้มองพวกคุณในทางลบเสมอไป แต่ว่าก็ว่าเถอะพับผ่า! คราวหน้าคราวหลัง อย่าให้บรรดานักการเมือง แอบไปขโมย"ซีน"ถึงเตียงพักฟื้นของหมอกวางได้อีก!
ภาพวินาทีถูกเจ้าหน้าที่วิสามัญฯ
ด.ต.ลิขสิทธิ์ พิลาศรี ผบ.หมู่.จร.สน.ดุสิต ถูกคนร้ายแย่งปืนและถูกแทงเสียชีวิตคาป้อม
 พญ.พิภัทรา สายโลหิต อายุ 28 ปี แพทย์ประจำโรงพยาบาลค่ายสุรนารี ที่ถูกคนร้ายจี้เป็นตัวประกัน
 นายอำนาจ พวงสูงเนิน อายุ 34 ปี โชเฟอร์แท็กซี่พลเมืองดี ถูกคนร้ายยิงเสียชีวิต
กำลังโหลดความคิดเห็น