“วิเชียร” มีความเห็นสั่งฟ้องคดี พธม.ชุมนุมสนามบินแล้ว แกนนำ พธม.โดนกันถ้วนหน้า ขณะที่ “กษิต” กับอีก 9 พธม.ไม่ฟ้องข้อหาก่อการร้าย เตรียมนัดผู้ต้องหาส่งฟ้องต่ออัยการวันที่ 5 เม.ย.นี้
วันนี้ (18 มี.ค.) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.ต.ประวุฒิ ถาวรศิริ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า วันนี้ พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ได้มีความเห็นพิจารณาสั่งฟ้องผู้ต้องหาในคดีที่กล่าวหากลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) บุกยึดท่าอากาศยานดอนเมืองและสุวรรณภูมิ ซึ่งเหตุเกิดตั้งแต่ปี 2551 โดยพิจารณาสั่งฟ้องผู้ต้องหาในข้อหาก่อการร้าย ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 135/1 รวม 15 คน จากเดิมที่คณะพนักงานสอบสวนมีความเห็นสั่งฟ้องในข้อหานี้ทั้งสิ้น 25 คน และสั่งฟ้องในข้อหากระทำผิดตาม พ.ร.บ.การบินฯ 104 คน ซึ่งในจำนวน 15 คนที่ยังคงสั่งฟ้องในข้อหาก่อการร้ายนั้นส่วยใหญ่จะเป็นแกนนำกลุ่ม พธม.ทั้งรุ่น 1 และรุ่น 2
เมื่อถามว่าเหตุใดจึงพิจารณาสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหา 10 คน ในข้อหาก่อการร้าย พล.ต.ต.ประวุฒิกล่าวว่า ข้อหาก่อการร้ายมีการระบุรายละเอียดไว้ส่วนหนึ่งว่า เจตนาพิเศษ ซึ่งเจตนาพิเศษนั้นต้องเป็นการตั้งใจทำให้เกิดความเสียหายอย่างรุนแรง ไม่ว่าจะเป็นกระบวนการขนส่ง กระบวนการปกครอง โดยหากดูจากเนื้อหาในสำนวนก็ไม่สามารถพิสูจน์ความผิดได้ ทำให้บางคนอาจจะหลุดในส่วนนี้ไป แต่อย่างไรก็ตามคงมีความผิดตาม พ.ร.บ.การบินฯ ที่มีโทษสูงไม่ต่างกัน
ถามต่อว่าที่ผ่านมามีกระแสข่าวว่ามีการกดดัน ผบ.ตร.ไม่ให้สั่งฟ้องผู้ต้องหาบางรายในข้อหาก่อการร้าย โฆษก ตร.กล่าวว่า ตนไม่ทราบในเรื่องนี้
ถามอีกว่า การที่ไม่สั่งฟ้องผู้ต้องหาบางรายเป็นการเจรจาให้ พธม.ยุติการชุมนุมด้วยหรือไม่ โฆษก ตร.กล่าวว่า ไม่ใช่ น่าจะเป็นเรื่องเนื้อหาในสำนวนมากกว่า เพราะเจตนาพิเศษเป็นเรื่องที่สืบยาก ซึ่งส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับเรื่องการล้มล้างการปกครอง หรือทำลายระบบการขนส่ง แต่สำหรับความผิดตาม พ.ร.บ.การบินฯ นั้น แค่เรื่องทางกายภาพก็สามารถพิสูจน์ได้แล้ว หากสื่อฯได้เห็นรายชื่อการสั่งฟ้องผู้ต้องหาในข้อหาก่อการร้ายก็จะรู้ว่าไม่น่าจะมีการต่อรองอะไรกัน และคงไม่เกี่ยวว่าจะเป็นประโยชน์กับการเจรจาใน พธม.ยุติการชุมนุมหรือไม่ เพราะแกนนำก็ยังมีรายชื่อสั่งฟ้องหมดทุกคน
ผู้สื่อข่าวถามว่า ดูบังเอิญหรือไม่ที่ก่อนหน้านี้ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำ พธม.ได้มายื่นคำร้องขอให้สอบปกกคำพยานเพิ่มและสั่งไม่ฟ้องแกนนำในข้อหาก่อการร้าย กระทั่ง ตร.มีดุลพินิจออกมาเช่นนี้ ซึ่งโฆษก ตร.กล่าวว่า ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เพราะ พล.ต.จำลองก็โดนแจ้งทั้ง 2 ข้อหา
ผู้สื่อข่าวถามว่าการสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาในข้อหาก่อการร้ายเป็นดุลพินิจของ ผบ.ตร.ใช่หรือไม่ พล.ต.ต.ประวุฒิกล่าวว่า ก็มีความเหมือนกันอยู่บางส่วน และแตกต่างกันอยู่ในบางส่วน ซึ่งเป็นการพิจารณาของคณะกรรมการระดับสูง
ขณะที่รายงานข่าวแจ้งว่า คณะพนักงานสอบสวน ซึ่งมี พล.ต.ท.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้ช่วย ผบ.ตร.เป็นหัวหน้าฯ ได้ประชุมสรุปความเห็นทางคดี เมื่อวันที่ 11 มี.ค.ที่ผ่านมา ภายหลังสอบปากคำพยานอีก 13 ปาก ตามที่ พล.ต.จำลองร้องขอมา โดยคณะพนักงานสอบสวนมีความเห็นสั่งฟ้องผู้ต้องหาทั้งสิ้น 114 ราย โดยในจำนวนนี้สั่งฟ้องในข้อหาก่อการร้ายทั้งสิ้น 25 ราย ซึ่งเป็นการยืนความเห็นทางคดีตั้งแต่มีการแจ้งข้อกล่าวหาครั้งแรก จากนั้นคณะพนักงานสอบสวนได้ส่งสำนวนคดีที่สรุปความเห็นให้ ผบ.ตร. ในฐานะหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา พิจารณามีความเห็นทางคดีเป็นที่สุด
หลังจากนั้น ผบ.ตร.ได้ส่งสำนวนให้คณะกรรมการของกองคดี ซึ่งประกอบด้วย พล.ต.ต.วิชัย รัตนยศ ผบก.คด. พ.ต.อ.สุรพล ธูปะเตมีย์ รองผบก.คด. พ.ต.อ.ธีรบูลย์ มั่งมี รองผบก.คด. และคณะรวม 14 คน เป็นผู้พิจารณา ก่อนมีความเห็นเสนอมายังผบ.ตร.และผบ.ตร.ได้เห็นตามและมีความเห็นทางคดีซึ่งส่วนใหญ่สอดคล้อง ตรงกับความเห็นที่คณะพนักงานสอบสวนเสนอขึ้นไป มีเพียงบางประเด็นเท่านั้นที่เห็นต่าง คือ ในข้อหาก่อการร้ายนั้น จากเดิมที่คณะพนักงานสอบสวนเสนอสั่งฟ้องผู้ต้องหาทั้งสิ้น 25 คน แต่ ผบ.ตร.กลับเห็นว่าควรสั่งฟ้องข้อหานี้แก่ผู้ต้องหาเพียง 15 คน ซึ่งประกอบด้วย พล.ต.จำลอง ศรีเมือง นายสนธิ ลิ้มทองกุล นายพิภพ ธงไชย นายสมศักดิ์ โกศัยสุข นายสุริยะใส กตะศิลา นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ นายนรัณยู หรือศรัณยู วงศ์กระจ่าง นายศิริชัย ไม้งาม นายสำราญ รอดเพชร นางมาลีรัตน์ แก้วก่า เรือตรีแซมดิน เลิศบุศย์ พ.ต.ท.สันธนะ ประยูรรัตน์ นายชนะ ผาสุกสกุล นายสุรวิชช์ วีรวรรณ และนายรัชต์ชยุตม์ หรืออมรเทพ หรืออมร ศิริโยธินภักดี หรืออมรรัตนานนท์
ขณะเดียวกัน ผบ.ตร.มีความเห็นสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาในข้อหาก่อการร้าย 10 คน ซึ่งประกอบด้วย นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ พล.อ.ปฐมพงษ์ เกสรศุกร์ นายประพันธ์ คูณมี นายกษิต ภิรมย์ นายเทิดภูมิ ใจดี นายวีระ สมความคิด น.ส.อัญชะลี หรือปอง ไพรีรัก น.ส.สโรชา พรอุดมศักดิ์ นายพิชิต หรือตั้ม ไชยมงคล และนายบรรจง นะแส
นอกจากนี้ ผบ.ตร.ยังมีความเห็นสั่งไม่ฟ้องบริษัท เอเอสทีวี ตาม พ.ร.บ.การประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ พ.ศ. 2551 มาตรา 7 และ 66 รวมทั้งมีความเห็นสั่งไม่ฟ้อง ผู้ต้องหาทั้งหมดตาม ป.อาญามาตรา 113, 114, 209, 360, 371, 385, 386 พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 114 ประกอบมาตรา 83
มีรายงานว่า ก่อนหน้านี้มีข่าวลือสะพัดใน ตร.ว่า พล.ต.อ.วิเชียร ได้รับแรงกดดันจากผู้มีอิทธิพลและนักการเมืองให้มีความเห็นสั่งไม่ฟ้องนายกษิต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ในข้อหาก่อการร้าย เนื่องจากกระทบต่อเสถียรภาพและภาพลักษณ์ของรัฐบาล ทำให้มีการจับตามองการสั่งคดีครั้งนี้ กระทั่งวันนี้ พล.ต.อ.วิเชียรได้มีความเห็นทางคดี สั่งไม่ฟ้องนายกษิต และพธม.อีก 9 คนในข้อหาก่อการร้ายดังกล่าว
ต่อมาเมื่อเวลา 15.00 น. ที่สำนักงานอัยการสูงสุด ถ.รัชดาภิเษก พ.ต.อ เอกรักษ์ ลิ้มสังกาศ ผกก.สน.มักกะสัน ในฐานะพนักงานสอบสวน ตามคำสั่งสำนักงานตรวจแห่งชาติ (ตร.) นำเอกสารหลักฐานและสำนวนการสอบสวนจำนวน 24 ลัง 165 แฟ้ม พร้อมความเห็นสั่งฟ้องซึ่งลงนามโดย พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผบ.ตร. ที่เห็นควรสั่งฟ้อง นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ นายสมบูรณ์ ทองบุราณ และ นายการุณ ใสงาม แกนนำและแนวร่วมเครือข่ายคนไทยหัวใจรักชาติ ในคดีร่วมกับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ชุมนุมที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ท่าอากาศยานดอนเมือง และทำเนียบรัฐบาล ส่งมอบให้กับนายกายสิทธิ์ พิศวง ปราการ อธิบดีอัยการฝ่ายคดีอาญา เพื่อพิจารณาสั่งคดี โดยนายไชยวัฒน์ รวมข้อหา 8 ข้อหาแต่ไม่มีคดีก่อการร้าย ส่วนนายสมบูรณ์ ถูกตั้งข้อหา 7 ข้อหา แต่ไม่มีคดีก่อการร้าย และนายการุณ ถูกต้องข้อหา รวม 4 ข้อหาแต่ไม่มีคดีก่อการร้ายเช่นกัน
พ.ต.อ. เอกรักษ์ กล่าวว่า นายไชยวัฒน์,นายสมบูรณ์, และนายการุณ ยังอยู่ระหว่างการฝากขัง ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องนำตัวทั้งสามมาส่งให้พนักงานอัยการ เพียงแต่นำเอกสารหลักฐานและสำนวนคดีพร้อมความเห็นสั่งฟ้องมาส่งให้ก่อนที่ นายการุณ จะครบกำหนดฝากขังครั้งที่ 4 ซึ่งเป็นผลัดสุดท้ายในวันที่ 22 มี.ค.นี้ ส่วนผู้ถูกกล่าวหาอีก 111 คน มี 18 คนที่ถูกออกหมายจับและยังไม่ได้ตัวมา ส่วนที่เหลือ 93 คนนั้นพนักงานสอบสวนได้เรียกให้ทั้งหมดมาพบที่กองบังคับการปราบปรามในวันที่ 5 เม.ย.นี้ เวลา 10.00 น. เพื่อนำตัวส่งอัยการพร้อมความเห็นสั่งฟ้องอีกครั้ง หากไม่มาจะยึดหลักประกันและขออนุมัติศาลออกหมายจับอีกครั้ง
ด้าน อธิบดีอัยการฝ่ายคดีอาญา กล่าวว่า หลังได้รับสำนวนแล้วจะต้องพิจารณาว่าพยานหลักฐานมีมากน้อยแค่ไหน หากเพียงพอก็สามารถยื่นฟ้องต่อศาลได้ แต่หากไม่เพียงพอก็จะสั่งสอบสวนเพิ่มเติม ส่วนจะต้องใช้เวลาพิจารณามากน้อยแค่ไหนนั้นขึ้นอยู่กับระยะเวลาว่าอัยการมีเวลาสั่งคดีอีกกี่วันก่อนที่จะครบกำหนดฝากขังผู้ต้องหาครั้งสุดท้าย อย่างไรก็ตามถ้าหากสั่งคดีไม่ทันครบกำหนดฝากขังก็ยังสามารถตามตัวมาฟ้องใน ภายหลังได้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าคดีนี้สืบเนื่องจากการชุมนุมยืดเยื้อของกลุ่มพันธมิตร 193 วัน ที่ทำเนียบรัฐบาล และในช่วงวันที่ 27 พ.ย.– 3 ธ.ค. 2551 ได้เคลื่อนตัวไปชุมนุมที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิและดอนเมือง กระทั่ง ตร.มีคำสั่งตั้งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีนี้ราวเดือน ม.ค. 2552 ก่อนที่จะสรุปความเห็นส่งอัยการสั่งคดีได้ในวันนี้
สำหรับเอกสารหลักฐานจำนวน 165 แฟ้มนั้นประกอบด้วย รายงานผลการสอบสวน คำให้การพยานผู้ได้รับความเสียหาย บัญชีทรัพย์สินที่ถูกประทุษร้าย คำให้การพยานเจ้าหน้าที่ตำรวจ คำให้การพยานสื่อมวลชน คำให้การพยานนักวิชาการ คำให้การพยานพนักงานบริษัทท่าอากาศยานไทย คำให้การพยานบริษัทการบินไทยและสายการบินต่างๆ คำให้การพยานบริษัทวิทยุการบินและบริษัทเอกชนในท่าอากาศยาน บัญชีของกลาง และรายงานผลการตรวจพิสูจน์หลักฐาน หนังสือรายงานสรุปข้อกล่าวหาและพยานหลักฐาน ตารางเชื่อมโยงผู้ต้องหาที่พูดปราศรัย เอกสารถอดเทปคำปราศรัย บันทึกภาพเหตุการณ์ชุมนุม 333 แผ่น คำให้การของผู้กล่าวหา คำให้การผู้ถูกกล่าวหา คำให้การพยานฝ่ายผู้ถูกกล่าวหา เอกสารหลักฐานของฝ่ายผู้ถูกกล่าวหาที่ส่งมอบให้พนักงานสอบสวน บันทึกนัดผู้ต้องหา และอื่นๆ