xs
xsm
sm
md
lg

กกต.เตือนสาวกพรรคไหนป่วนคู่แข่งเจอยุบ แฉรูปแบบใหม่ซื้อเสียงผ่าน ATM

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

อภิชาต สุขัคคานนท์ (แฟ้มภาพ)
กกต.ติวเข้มเตรียมพนักงานสอบสวน รับเลือกตั้งรุนแรง “อภิชาต” ระบุ มีทั้งบนดิน ใต้ดิน แนะรู้เท่าทันแล้วต้องยึดกฎหมายให้มั่น รักษาความลับให้ดี ด้าน “ประพันธ์” เตือนพรรคการเมืองปล่อยสาวกป่วนคู่แข่ง เจอข้อหาสนับสนุนโทษถูกใบเหลือง แดง แถมถูกยุบพรรค “สมชัย” เผยรูปแบบซื้อเสียงพัฒนา เลิกจ่ายคืนหมาหอน ใช้โอนเงินผ่านเอทีเอ็มผู้มีสิทธิเลือกตั้ง แถมสกัดไม่ให้ร้องเรียนใน 7 วัน เพื่อให้ได้รับการประกาศรับรองผล

วันนี้ ( 16 มี.ค.) คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้จัดอบรมเตรียมความพร้อมในการทำหน้าที่คณะกรรมการสืบสวนสอบสวน รุ่นที่ 1 (ภาคกลาง) 11 จังหวัด โดยมีผู้เข้ารับการอบรมทั้งสิ้น 622 คน

นายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธาน กกต.กล่าวเปิดและมอบโนบายตอนหนึ่ง ว่า ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ อัยการและพนักงานของ กกต.ซึ่งเข้าอบรมและจะได้รับการแต่งตั้งเป็นพนักงานสอบสวนหลังมีพระราชกฤษฎีการเลือกตั้งยึดมั่นการปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเป็นกลางอย่างเคร่งครัดไม่เลือกปฏิบัติ เพราะปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในขณะนี้มาจากการที่ผู้คนในสังคมไม่มีความเชื่อมั่นในประบวนการยุติธรรม ดังนั้น กกต.ที่เป็นองค์กรต้นทางของกระบวนการยุติธรรม และประชาชนคาดหวังก็จะต้องจัดการและดูแลการเลือกตั้งให้เป็นไปด้วยความสุจริต

“เวลานี้ภาคการเมืองมีการขยับตัวกันแล้ว รวมทั้งมีการวิพากษ์วิจารณ์ว่าการเลือกตั้งจะมีการต่อสู้รุนแรงทุกรูปแบบทั้งบนดินและใต้ดิน เนื่องจากต่างฝ่ายก็ต้องการอำนาจรัฐ ผู้ปฏิบัติงานจึงไม่เพียงต้องรู้เท่าทัน แต่ต้องรู้ในกฎระเบียบต่างๆ และที่สำคัญต้องรู้จักรักษาชั้นความลับ เพื่อให้การทำหน้าที่และสำนวนที่จะออกมามีความสมบูรณ์ เพราะทั้งหมดไม่เพียงมีผลต่อการวินิจฉัยชี้ขาดของ กกต.แต่ยังมีผลต่อความปลอดภัยของพยาน ที่ กกต.ยังไม่มีกฎหมายคุ้มครองพยาน หากข้อมูลต่างๆ รั่วไหลไปยังฝ่ายตรงข้าม ต่อไปการทำงานของ กกต.ก็จะไม่ได้รับความร่วมมือ ผมเข้าใจว่าการทำงานในพื้นที่มีความยากลำบากอาจต้องเผชิญกับอิทธิพลของฝ่ายการเมืองหรือจากผู้บังคับบัญชา แต่ขอให้พยายามปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเที่ยงธรรม หากมีปัญหา กกต.พร้อมที่จะเข้าไปดูแล”

ด้าน นายประพันธ์ นัยโกวิท กกต.ด้านกิจการบริหารงานเลือกตั้ง กล่าวถึงกระบวนการจัดการเลือกตั้งว่าโพลหลายสำนักที่ออกมาตรงกันว่า การเลือกตั้งจะมีการแข่งขันรุนแรงใน 2 ประเด็นคือ 1.การเลือกตั้งมีการขัดขวางการหาเสียง โดยกรณีนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้วในปี 2552 มีการยุบพรรคและมีการเลือกตั้งใหม่ ที่มีกลุ่มมวลชนต่างๆ ไปปิดล้อมสถานที่หาเสียงเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายหนึ่งเข้าไปหาเสียง ตรงนี้ กกต.เป็นห่วงว่าจะมีลักษณะดังกล่าวเกิดขึ้นในหลายพื้นที่ของการเลือกตั้งครั้งนี้ ทั้งที่อยากให้การเลือกตั้งเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ต่างฝ่ายหาเสียงได้อย่างเสรีไม่มีการใช้อิทธิพลข่มขู่คุกคาม

“หากเกิดขึ้นในการเลือกตั้งขอให้พนักงานสอบสวนทำความเข้าใจกับผู้สมัคร และพรรคการเมืองว่าต้องดูแลมวลชนที่ของตนเองที่ออกมาเคลื่อนไหว หากไม่ห้ามปรามก็อาจเข้าข่ายรู้เห็นเป็นตัวการหรือผู้สนับสนุน ที่ศาลฎีกาเคยมีคำพิพากษาวางแนวไว้ว่าเป็นความผิด พรรคและผู้สมัครสามารถถูกใบเหลืองใบแดงได้”

2.การเลือกตั้งจะมีการซื้อเสียงมาก ซึ่งไม่ถือว่าผิดความคาดหมาย เพราะเป็นการต่อสู้เพื่อให้ได้อำนาจรัฐ และผลวิจัยจากการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา ก็พบว่าการซื้อเสียงยังมีอยู่ทุกพื้นที่ ทั้งการแจกเงินแจกของ

นายประพันธ์ ยังเน้นผู้ปฏิบัติงานเตรียมการในเรื่องต่างๆที่เกี่ยวกับการจัดการเลือกตั้ง เช่น การเตรียมคนที่จะมาทำหน้าที่คณะกรรมการประจำหน่วยเลือกตั้ง คณะกรรมการประจำเขตเลือกตั้ง การแบ่งเขตเลือกตั้งที่ กกต.มีมติออกประกาศให้มีการแบ่งเขตเลือกตั้งไปเมื่อวันที่ 15 มี.ค.ที่ผ่านมา โดยด้านบริหารกิจการเลือกตั้งจะพยายามแบ่งเขตให้เสร็จภายในเดือน มี.ค.นี้ หรืออย่างช้าที่สุดไม่เกินเดือนเม.ย. เพื่อให้สามารถจัดการเลือกตั้งได้ตามที่นายกฯประกาศยุบสภา และการปฏิบัติตามระเบียบสืบสวนสอบสวนที่มีการแก้ไขใหม่

“ที่ผมอยากเน้นในเรื่องของการแจ้งข้อกล่าวหาให้กับผู้ถูกกล่าวหา การคำนึงถึงเรื่องระยะเวลาในการพิจารณาเรื่องร้องคัดค้าน เพราะที่ผ่านมากลายเป็นจุดที่ผู้ถูกกล่าวหานำไปโต้แย้งในชั้นศาลจนเป็นเหตุให้คดีถูกยกฟ้องเช่น คดียุบพรรค เป็นต้น และที่สำคัญ ในเรื่องของการจัดทำสำนวนที่ต้องมีพยานหลักฐานที่สมบูรณ์ เพื่อที่เมื่อคดีขึ้นสู่ศาลจะได้ไม่ต้องถูกยกฟ้องเพราะพยานหลักฐานอ่อน

ด้าน นายสมชัย จึงประเสริฐ กกต.ด้านกิจการสิบสวนสอบสวนและวินิจฉัย กล่าวว่า อยากให้ผู้ที่ทำหน้าที่พนักงานสืบสวนได้ศึกษากฎหมายเลือกตั้ง รวมทั้งแนววินิจฉัยของ กกต.ในเรื่องของการกระทำผิดกฎหมายเลือกตั้งให้ดี

โดยเฉพาะการเลือกตั้งครั้งนี้หากมีการยุบสภาก็จะเข้าข่ายเป็นการเลือกตั้งกรณีอื่นที่ไม่ใช่การครบวาระตามมาตรา 49 ของ พ.ร.บ.เลือกตั้ง ส.ส.และการได้มาซึ่ง ส.ว.ซึ่งจะถือว่าห้ามผู้สมัครและพรรคการเมือง กระทำการเข้าข่ายผิดกฎหมายเลือกตั้งตั้งแต่วันที่มีพระราชกฤษฎีกา โดยการเลือกตั้งใหม่ที่ผ่านมามีการเข้าใจผิดของผู้สมัครว่า กกต.จะเริ่มนับการกระทำผิดหลังจากพระราชกฤษฎีการเลือกตั้งมีผลบังคับใช้แล้ว 1 วัน ทำให้ผู้สมัครผู้นั้นถูก กกต.สั่งให้มีการเลือกตั้งใหม่มาแล้ว

อย่างไรก็ตาม ปัญหาที่ทำให้ กกต.ถูกวิพากษ์วิจารณ์มาก คือ เรื่องการซื้อสิทธิ์ขายสียง ที่ตามข้อเท็จจริง กกต.ไม่ได้ปล่อยปละละเลย แต่จับยากเพราะวิธีการพัฒนาไปเรื่อย แจกเงินในคืนวันหมาหอนหรือแจกรองเท้าข้างหนึ่งแล้วหลังเลือกตั้งค่อยมาเอาอีกข้างหนึ่งก็ไม่มีแล้ว กลายเป็นว่ามีการนำบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งไปแล้วมีการโอนเงินซื้อเสียงให้ทางเอทีเอ็ม ทำให้จับลำบาก

อีกทั้งกฎหมายในอดีตเอาผิดเฉพาะคนแจก ทำให้ผู้ที่รับเงินยอมที่จะมาแจ้งความ แต่กฎหมายปัจจุบันกลับเอาผิดทั้งผู้ให้และผู้รับ แล้วคนรับที่ไหนจะมาแจ้งเจ้าหน้าที่ ตนดีใจที่เจ้หน้าที่ตำรวจเข้ามาเป็นพนักงานสอบสวนในครั้งนี้ เพราะลำพังพนักงาน กกต.ไม่เพียงพอ เพราะขนาดการเลือกตั้งที่ จ.นครราชสีมา ครั้งที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ กกต.จะเข้าไปตรวจสอบเพราะพบเหตุผิดปกติ แต่เมื่อไปถึงกลับพบว่ามีเจ้าหน้าที่ตำรวจมายืนล้อม ภายในมีการจอดรถเต็มไปหมด ซึ่งเจ้าหน้าที่กกต.ก็ไม่ได้รับอนุญาต ตนอยากจะฝากให้เจ้าหน้าที่ตำรวจให้ช่วยดูแลและคิดวิธีการในการจับผู้กระทำผิด

“ในอดีตรัฐธรรมนูญปี 40 ให้อำนาจเด็ดขาดกับ กกต.ทั้งก่อนและหลังการประกาศรับรองผล แต่รัฐธรรมนูญปัจจุบันให้อำนาจเด็ดขาดกับ กกต.เฉพาะก่อนประกาศรับรองผล รวมทั้งกฎหมายยังกำหนดให้มีการเปิดสภาภายใน 30 วันนับตั้งแต่เลือกตั้ง ตรงนี้ทำให้ผู้สมัครอาศัยช่องว่างดังกล่าว สกัดไม่ให้มีการร้องเรียนตัวเองในช่วง 7 วันหลังการเลือกตั้ง เพื่อให้ตนเองไม่มีเรื่องร้องเรียนและได้รับการประกาศรับรองผลการเลือกตั้ง ขณะเดียวกันก็มีการครหาในกรณีมีเรื่องร้องเรียนว่าเจ้าหน้าที่ กกต.ไปช่วยดึงเรื่อง เพื่อให้ผู้สมัครรายนั้นได้รับการประกาศรับรองผลไปก่อน จุดนี้ทำให้นักการเมือง เขาไม่เกรงกลัวในการที่จะทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง ส่งผลให้ กกต.เองก็ขาดความน่าเชื่อถือ ถูกมองว่าไม่สามารถป้องกันคนไม่ดีเข้าสภาได้”

นายสมชัย กล่าวว่า กกต.ได้วางยุทธศาสตร์ไว้ว่าจะพยายามใช้อำนาจสืบสวนสอบสวนให้แล้วเสร็จและสอยผู้ที่ทำผิดเสียก่อนในช่วงที่ กกต.มีอำนาจเด็ดขาด เพื่อที่จะได้ไม่ไปศาล ซึ่งตรงนี้ผู้ที่จะทำหน้าที่พนักงานสอบสวนจะช่วยได้มาก เพราะ กกต.ใช้หลักวินิจฉัยเพียงแค่พยานหลักฐาน “เชื่อได้ว่า” เท่านั้น แต่ถ้าไปศาลแม้จะมีการพูดว่ายึดหลักเดียวกัน แต่ในทางปฏิบัติจะยึดพยานหลักฐานที่ค่อนข้างชัดเจนมีการสืบพยาน และมีการกลับคำของพยานค่อนข้างบ่อยครั้ง ตรงนี้คนที่ทำหน้าที่สืบสวนสอบสวนจะเหนื่อยมาก หากปล่อยให้ถึงขั้นตอนนั้น ดังนั้นผู้ที่เข้ามาทำหน้าที่พนักงานสอบสวนยึดตามยุทธศาสตร์ของ กกต.การเข้ามาเป็นพนักงานสอบสวน เพื่อช่วย กกต.สกัดคนไม่ดีไม่ให้เข้าสภาก็จะมีประโยชน์ต่อบ้านเมืองเป็นอย่างมาก
กำลังโหลดความคิดเห็น