เป็นเรื่องที่น่ามึนงงสงสัยและตกใจอย่างมาก ที่กระทรวงต่างประเทศได้ออกมาตอบโต้ทันที หลังจากบทความที่ผมเขียนด้วยความบริสุทธิ์เพียงเพื่อช่วยหาช่องทาง ช่วยเหลือคุณวีระและคุณราตรี ที่ต้องสูญเสียอิสรภาพและกำลังทนทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัสอยู่ในต่างประเทศจากข้อกล่าวหาที่อาจจะนับได้ป่าเถื่อน ไร้มาตรฐาน และปราศจากความชอบธรรมอย่างสิ้นเชิง ให้มีโอกาสได้เดินทางกลับมาประเทศไทยโดยปลอดภัย เผยแพร่ทางสื่อมวลชน ว่า การช่วยเหลือ คุณวีระ และ คุณราตรี ด้วยการโอนนักโทษนั้นไม่สามารถทำได้ เพราะไม่เข้าเงื่อนไขตามข้อกำหนดในสนธิสัญญาโอนนักโทษที่ต้องไม่ใช่ความผิดต่อความมั่นคง และต้องได้รับโทษมาแล้วไม่น้อยกว่า 1 ใน 3
ไม่มีใครปฏิเสธหลอกครับว่าการดำเนินการใดๆก็ตามที่ต้องกระทำเป็นทางการ และโดยเฉพาะที่ต้องเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ต้องมีหลักเกณฑ์เงื่อนไขและกฎระเบียบต่างๆกำหนดไว้ แต่การช่วยเหลือคนไทยทั้งสองคนที่กำลังทนทุกข์ทรมานดังกล่าวเป็นเรื่องที่คนไทยทุกคนควรที่จะต้องมาร่วมมือร่วมใจกันหาหนทางช่วยเหลือโดยเร่งด่วน ไม่ใช่รีบออกมาโต้แย้งปฏิเสธเสียตั้งแต่ต้น โดยไม่ทันได้พิจารณาศึกษาให้รอบครอบครบถ้วนเสียก่อน ทำให้ข้อครหาที่ว่ารัฐบาลนายกอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไม่มีความจริงใจในการช่วยเหลือคุณวีระ และ คุณราตรี ยิ่งมีความสงสัยมากขึ้น
คนติดคุกนะครับแค่เพียง 1 วัน ก็ทรมานใจอย่างยิ่งแล้ว นี้ถ้านับตั้งแต่ 29 ธันวาคม 2553 ที่คนทั้งสองถูกจับไปพร้อมกับคนไทยอีก 5 คน ถึงวันนี้เป็นเวลากว่า 73 วันแล้ว นายอภิสิทธิ์ นายสุเทพ นายกษิต และพลเอกประวิตร ตลอดจนนายชวนนท์ นายธานี และนายประสาท ไม่เคยถูกจำคุกคงไม่ทราบถึงความรู้สึกตรงนี้
หากย้อนกลับไปเรื่องนี้ตามข่าวที่ปรากฏจากสื่อมวลชนโดยทั่วไปรวมทั้การยอมรับของนายอภิสิทธิ์ เริ่มต้นจากการที่นายอภิสิทธิ์ มอบหมายให้นายพนิช วิกิตเศรษฐ์ ส.ส.พรรคประชาธิปัติย์ ไปตรวจสอบที่ดินบริเวณชายแดนไทย - กัมพูชา ตามที่มีชาวบ้านร้องเรียน ว่าถูกชาวกัมพูชา บุกรุกที่ดินทำกิน นายพนิช จึงได้ขอร้องให้ร้อยโทแซมดินและคุณวีระ เป็นผู้พาไปจนกระทั่งคนไทยที่ร่วมเดินทางไปพร้อมกัน 7 คน ถูกทหารเขมรควบคุมตัวไปขึ้นศาลกัมพูชาจนเหตุการณ์บานปลายมาจนถึงวันนี้ นายอภิสิทธิ์ จึงไม่อาจปฏิเสธความรับผิดชอบต่อผลกรรมที่เกิดขึ้นกับคุณวีระและคุณราตรี ในขณะนี้ได้อย่างสิ้นเชิง
แต่พฤติการณ์ที่ผ่านมานายกอภิสิทธิ์ และรัฐบาลของท่าน นอกจากจะยังไม่ได้แสดงความกระตือรือร้นในการรับผิดชอบต่อเรื่องนี้ให้เห็นเท่าที่ควรแล้ว ยังปรากฏพฤติการณ์ในลักษณะทำนองการกล่าวหาซ้ำเติมคุณวีระและคุณราตรี อีกด้วย เมื่อผมออกมาเสนอช่องทางกฎหมายเพื่อดำเนินการช่วยเหลือคุณวีระและคุณราตรี ก็รีบออกมาปฏิเสธทันทีว่าทำไม่ได้ อ้างเงื่อนไขต่างๆนาๆ
จากข้อมูลเกี่ยวกับกรณีการโอนตัวนักโทษในช่วงตั้งแต่ปี 2533 ถึงเดือนเมษายน 2553 มีการโอนตัวนักโทษต่างชาติไปแล้วจำนวน 860 คน และมีการโอนตัวนักโทษไทยกลับมาจำนวน 8 คน
ทุกท่านที่เคารพครับ สนธิสัญญาโอนนักโทษมีลักษณะเป็นข้อตกลงสองฝ่ายที่จัดทำขึ้นโดยอยู่บนพื้นฐานของหลักการถ้อยทีถ้อยอาศัย ดังนั้น ไม่ว่าจะมีเงื่อนไขใดที่เป็นอุปสรรคต่อหลักการดังกล่าวปรากฏอยู่ในสนธิสัญญา ประเทศคู่สัญญาก็ย่อมสามารถตกลงยินยอมกันเพื่อยกเว้นเงื่อนไขเหล่านั้นได้ และน่าจะง่ายกว่าการกราบบังคมทูลขอพระราชทานอภัยโทษต่อพระมหากษัตริย์กัมพูชาที่ต้องขอให้พระองค์ท่านกระทำการที่อาจจะผิดต่อกฎหมายอีกด้วย เพราะเท่าที่ปรากฏในข่าวตามกฎหมายของกัมพูชานั้น นักโทษที่จะขออภัยโทษได้ต้องได้รับโทษมาแล้วไม่น้อยกว่า 2 ใน 3 แต่คุณวีระและคุณราตรี ยังรับโทษไม่ถึงอย่าว่าแต่มีสนธิสัญญาโอนนักโทษระหว่างไทยกับกัมพูชาที่นายกษิตและนายฮอร์ นัม ฮง ลงนามไว้เมื่อ 5 สิงหาคม 2552 แล้วในขณะนี้เลยครับ
แม้ก่อนจะมีสนธิสัญญาไทยและกัมพูชาก็ได้มีการโอนนักโทษให้แก่กันมาแล้ว โดยนักโทษไทย 2 คน ที่เป็นชาวมุสลิมถูกกล่าวหาในความผิดฐานเป็นผู้ก่อการร้าย ซึ่งถือเป็นความผิดต่อความมั่นคง และนักโทษกัมพูชาต้องโทษถึงประหารชีวิตที่นายกษิต เองกล่าวว่าจะต้องดำเนินการขอพระราชทานอภัยโทษให้ก่อนอีกด้วย ข้อมูลนี้ปรากฏตามข่าวหนังสือพิมพ์ไทยรัฐฉบับวันที่ 13 กรกฎาคม 2552 ดังนี้ “นายกษิต ภิรมย์" รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผยว่า นักโทษชายไทยมุสลิม 2 คน ซึ่งถูกตั้งข้อหาก่อการร้าย ที่เพิ่งได้รับการปล่อยตัวจากรัฐบาลกัมพูชา ตามข้อตกลงแลกเปลี่ยนตัวนักโทษระหว่างไทยและกัมพูชา เมื่อวันที่ 12 มิ.ย. พร้อมกับมีรายงานว่า นักโทษคนดังกล่าว ได้เข้าพบตน และภริยาตั้งแต่วันแรกที่เดินทางกลับ และขณะนี้อยู่ในการดูแลของทางการไทย ส่วนนักโทษกัมพูชาที่เราต้องส่งไปให้กัมพูชานั้น กฎหมายไทยต้องมีความตกลงว่าด้วยการโอนตัวนักโทษ ซึ่งได้เจรจาไปแล้วเมื่อวันที่ 10 ก.ค. และจะเอาเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี แต่คงไม่ต้องนำเข้าสภาฯ เพราะมี พ.ร.บ.อยู่แล้ว คาดว่าจะลงนามกับฝ่ายกัมพูชาได้ที่ จ.ภูเก็ต และจะสามารถส่งตัวนักโทษกลับไปได้ตามสัญญาที่ผู้นำทั้ง 2 ฝ่ายได้ตกลงกันไว้ รมว.ต่างประเทศ กล่าวด้วยว่า ส่วนผู้ที่ต้องโทษประหารจะมีการดำเนินการเพื่อขอพระราชทานอภัยโทษ เพราะต้องลดโทษประหารให้เหลือโทษจำคุกตลอดชีวิตก่อน จึงจะสามารถส่งตัวไปได้ตามเงื่อนไขของกฎหมายไทย ทั้งนี้ ทางกัมพูชาได้ขอตัวนักโทษจำนวน 4 คน จากฝ่ายไทยให้กลับไปรับโทษต่อในกัมพูชา แต่มีเพียงคนเดียวที่เข้าเงื่อนไขตามกฎหมายไทยที่จะส่งตัวไปได้ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคดีเกี่ยวกับยาเสพติด”
เห็นข้อมูลของนายกษิต ที่จะทำทุกวิถีทางแม้กระทั่งต้องรบกวนเบื้องพระยุคลบาทเพียงเพื่อที่จะช่วยนักโทษกัมพูชาที่ต้องโทษถึงประหารชีวิตให้ได้กลับไปยังบ้านเกิดเมืองนอนข้างต้น เปรียบเทียบกับความพยายามช่วยเหลือคุณวีระและคุณราตรี ของรัฐบาลนายกฯอภิสิทธิ์ เท่าที่ปรากฏอยู่ในขณะนี้แล้ว พ่อแม่พี่น้องรู้สึกอย่างไรบ้างครับ ( เรื่องมันแสนเศร้าจริงๆประเทศไทย) ผมจึงขอยืนยันอีกครั้งครับว่าการโอนตัวนักโทษยังเป็นช่องทางที่ดีที่สุดอีกช่องทางหนึ่งที่น่าจะสามารถช่วยคุณวีระและคุณราตรี กลับมาประเทศไทยได้ รีบเถอะครับท่านผู้มีอำนาจ ท่านผู้มหาจำเริญทั้งหลาย จะให้กราบอีกกี่ครั้งก็ยอมครับ
สุดท้ายผมอยากจะกล่าวถึงปรัชญาการทำงานของผู้พิพากษาที่ทุกท่านทราบดีกันแล้วไว้ในที่นี้อีกครั้งว่า “ปล่อยคนผิด 10 คน ดีกว่าลงโทษคนไม่ผิดเพียงคนเดียว” ผมเป็นชาวพุทธเชื่อในบาปบุญคุณโทษ เวรกรรมมีจริงนะครับ ท่านผู้มีอำนาจในรัฐบาลที่ผมได้กล่าวถึงข้างต้นระมัดระวังไว้บ้างก็ดีครับ
อนุรักษ์ สง่าอารีย์กูล เลขานุการแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในศาลฎีกา
sa_anuruk @ yahoo.co.th